การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของการจัดการแข่งขัน MotoGP ในประเทศไทย


 การตัดสินใจลงทุนงบประมาณสาธารณะในการจัดการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ตระดับโลกเป็นประเด็นที่ต้องการการพิจารณาอย่างรอบคอบภายใต้กรอบแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การกีฬาและทฤษฎีการจัดการอีเวนต์กีฬาระดับสูง การที่รัฐบาลไทยอนุมัติกรอบวงเงิน 3,997.86 ล้านบาทเพื่อต่ออายุสัญญาการจัด MotoGP อีก 5 ปี ตั้งแต่พ.ศ. 2570 ถึง 2574 จึงเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการทดสอบความใช้ได้ของทฤษฎีต่างๆ ในบริบทของประเทศกำลังพัฒนาที่พยายามใช้กีฬาเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ระดับชาติ บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการดังกล่าวผ่านเลนส์ทางทฤษฎี โดยเฉพาะแนวคิดเรื่องผลตอบแทนทวีคูณทางเศรษฐกิจ Economics Multiplier การวิเคราะห์ต้นทุนผลประโยชน์ในอีเวนต์กีฬา รูปแบบความร่วมมือภาครัฐและเอกชน และกลยุทธ์การใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวเชิงกีฬา พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงความเสี่ยงทางโครงสร้างที่มักถูกมองข้ามในการประเมินโครงการประเภทนี้

เมื่อพิจารณาจากทฤษฎีผลตอบแทนทวีคูณทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับการประยุกต์ใช้ในบริบทการกีฬาโดย Crompton (1,2) ในบทความสำคัญที่ตีพิมพ์ใน Journal of Sport Management และ Journal of Travel Research จะพบว่าแนวคิดหลักของทฤษฎีนี้ระบุว่าการใช้จ่ายเริ่มแรกจากการจัดอีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่จะสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่ามูลค่าการลงทุนเริ่มต้น ผ่านกลไกสามระดับคือผลกระทบทางตรง ผลกระทบทางอ้อม และผลกระทบชักนำ ในกรณีของ MotoGP ประเทศไทย ข้อมูลระบุว่าตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน โครงการสร้างมูลค่าหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสะสมรวม 24,927 ล้านบาท จากผู้เข้าร่วมงานเฉลี่ย 206,240 คนต่อครั้ง การคำนวณค่าผลตอบแทนทวีคุณในเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าทุกๆ หนึ่งบาทที่รัฐลงทุนในค่าลิขสิทธิ์ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 100 ถึง 178 ล้านบาทต่อปี สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่ายี่สิบถึงยี่สิบห้าเท่า หากคำนวณจากมูลค่าหมุนเวียนรวมต่อจำนวนปีที่ผ่านมา ตัวเลขเหล่านี้ดูเหมือนจะสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนในโครงการนี้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักวิชาการ เราต้องตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ต่อตัวเลขเหล่านี้ตามหลักการของ ที่เตือนถึงข้อผิดพลาดทั่วไปในการคำนวณผลกระทบทางเศรษฐกิจของอีเวนต์กีฬา ประการแรกคือปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Substitution Effect ซึ่งหมายถึงรายได้บางส่วนอาจเป็นเพียงการเปลี่ยนเส้นทางการใช้จ่ายของคนไทยเองจากกิจกรรมอื่นมาเป็น MotoGP Crompton (2) โดยไม่ใช่รายได้ใหม่ที่แท้จริง ประการที่สองคือ Crowding Out Effect ที่การจัดงานขนาดใหญ่อาจทำให้นักท่องเที่ยวประเภทอื่นหลีกเลี่ยงการมาเยือนในช่วงเวลาเดียวกัน และประการสุดท้ายคือ Leakage Effect ที่รายได้จำนวนมากอาจรั่วไหลออกนอกประเทศ เช่น ค่าลิขสิทธิ์ที่จ่ายให้ Dorna Sports ในสเปนหรือค่าใช้จ่ายของทีมแข่งต่างชาติ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาที่ ยืนยันว่าการรั่วไหลทางเศรษฐกิจในอีเวนต์กีฬาระดับนานาชาติสามารถสูงถึงร้อยละ 40-60 ของรายได้รวม โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องนำเข้าสินค้าและบริการจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก (3)

เมื่อพิจารณาจากทฤษฎีการวิเคราะห์ต้นทุนผลประโยชน์ จะพบว่ากรอบการประเมินมูลค่าควรครอบคลุมทั้งผลประโยชน์ที่จับต้องได้และผลประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้ (4) ในงานวิจัยที่ ระบุว่าการประเมินอีเวนต์กีฬาที่ครอบคลุมต้องคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสและผลกระทบทางสังคมที่กว้างขวาง (5) สำหรับโครงการ MotoGP ผลประโยชน์ที่จับต้องได้ประกอบด้วยรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 318 ล้านบาทต่อปี การจ้างงานชั่วคราวในภาคการท่องเที่ยว และรายได้จากการขายบัตรและสปอนเซอร์ที่ไหลเข้าการกีฬาแห่งประเทศไทย ในขณะที่ผลประโยชน์ที่จับต้องไม่ได้รวมถึงการยกระดับภาพลักษณ์ประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานความปลอดภัย การถ่ายทอดความรู้ด้านการจัดการอีเวนต์ระดับโลก และการสร้าง Soft Power ในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของภูมิภาค จากข้อมูลพบว่ารายได้จากภาษีเพียงอย่างเดียวที่ 318 ล้านบาทก็สูงกว่าเงินสมทบของรัฐที่ 178 ล้านบาทแล้ว แสดงให้เห็นสถานะที่เป็นบวกสุทธิในเชิงการคลังแม้จะไม่นับผลประโยชน์อื่นๆ ที่กล่าวมา

ทว่า เราจำเป็นต้องนำต้นทุนค่าเสียโอกาสเข้ามาพิจารณาด้วย กล่าวคือ หากเงิน 3,997.86 ล้านบาทนี้ถูกนำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการกีฬาประชาชน โรงพยาบาล หรือการศึกษา (6) จะสร้างผลตอบแทนทางสังคมที่มากกว่าหรือไม่ Coates และ Humphreys พบว่าการลงทุนในอีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่มักมีต้นทุนค่าเสียโอกาสสูงกว่าที่นักการเมืองและผู้จัดงานประเมินไว้ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมที่ถูกละเลย นอกจากนี้ ประเด็นที่มีความซับซ้อนมากขึ้นคือโครงสร้างการจ่ายภาษีแทนเอกชน จากข้อมูลพบว่ามีวงเงินกว่า 780 ล้านบาทที่ถูกระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับภาษี ซึ่งในทางปฏิบัติของสัญญาระหว่างประเทศกับเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง Dorna Sports มักมีเงื่อนไขเรื่องการจ่ายค่าลิขสิทธิ์แบบปลอดภาระภาษีในประเทศผู้จ่าย (7)

รูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในโครงการนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด ตามกรอบแนวคิดของ Hodge และ Greve ในงานวิจัยเรื่อง "On Public-Private Partnership Performance: A Contemporary Review" กล่าวว่าความร่วมมือประเภทนี้ที่ประสบความสำเร็จต้องมีองค์ประกอบสำคัญสามประการคือการแบ่งความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ความคุ้มค่ามากกว่าการดำเนินการโดยรัฐเพียงฝ่ายเดียว (8) และความโปร่งใสในสัญญาและการเงิน ซึ่งเป็นผลงานอ้างอิงหลักในสาขา Sport Mega-Events ระบุว่าความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในอีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่มักประสบปัญหาการแบ่งความเสี่ยงที่ไม่สมดุล โดยรัฐมักต้องแบกรับความเสี่ยงส่วนใหญ่ในขณะที่เอกชนได้รับผลประโยชน์มากกว่า กรณี MotoGP ไทยอ้างว่าเป็นโมเดลนี้โดยรัฐรับผิดชอบค่าลิขสิทธิ์ร้อยละห้าสิบและเอกชนรับผิดชอบอีกร้อยละห้าสิบพร้อมค่าดำเนินการทั้งหมดที่มากกว่าสองพันล้านบาท อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของโมเดลนี้คือภาระหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (9)

การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ชมเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญตามงเป็นตำราหลักในสาขาการจัดการอีเวนต์กีฬา ตามทฤษฎีวงจรชีวิตของอีเวนต์ (11) อีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่จะผ่านสี่ระยะคือระยะแนะนำ ระยะเติบโต ระยะวุฒิภาวะ และระยะเสื่อมถอย จากสถิติจำนวนผู้ชมของ MotoGP ไทยพบว่าในปี 2018 มีผู้ชม 222,535 คน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในฤดูกาลนั้น และในปี 2019 เพิ่มขึ้นเป็น 226,655 คน ทำลายสถิติเดิมของตนเอง หลังจากนั้นในปี 2022 และ 2023 จำนวนผู้ชมลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 178,000 ถึง 179,000 คน สะท้อนถึงผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 และแม้จะฟื้นตัวในปี 2024 ที่มีผู้ชมประมาณ 205,000 คน แต่ตัวเลขผู้ชมในวันแข่งจริงลดลงเหลือเพียง 42,529 คน

แนวโน้มนี้บ่งชี้ถึงสัญญาณเตือนบางประการที่สอดคล้องกับงานวิจัยของ Chalip ระบุว่าอีเวนต์กีฬาที่จัดซ้ำในสถานที่เดิมมักประสบปัญหาความเบื่อหน่ายของผู้ชมหลังจากผ่านระยะเวลาหนึ่ง (12)  อย่างไรก็ดี การที่บัตรที่นั่งแกรนด์สแตนด์สำหรับปี 2026 ขายหมดภายในไม่กี่นาทียืนยันถึงฐานแฟนคลับหลักที่แข็งแกร่ง ซึ่งตรงกับแนวคิดของ Funk และ James เกี่ยวกับโมเดลความต่อเนื่องทางจิตวิทยาที่แบ่งผู้ชมเป็นสี่ระดับคือการรับรู้ การดึงดูด การผูกพัน และความภักดี โดยผู้ซื้อบัตรแกรนด์สแตนด์จัดอยู่ในกลุ่มความภักดีซึ่งมีความภักดีสูงและไม่ได้รับผลกระทบจากความเบื่อหน่าย (13)

นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยได้เป็นสนามเปิดฤดูกาลในปี 2025 และ 2026 ถือเป็นโอกาสทองในการเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากตามทฤษฎีที่ Gibson (14) การเป็นสนามเปิดฤดูกาลมีมูลค่าพรีเมียมสูงกว่าการเป็นสนามกลางหรือท้ายฤดูกาล เพราะความตื่นเต้นของแฟนคลับอยู่ในระดับสูงสุดและยังไม่มีการอิ่มตัวจากการชมหลายสนามติดกัน (15) ยืนยันว่าการเป็นสนามเปิดฤดูกาลสร้างมูลค่าด้านการท่องเที่ยวที่สูงกว่าสนามอื่นๆ ถึงร้อยละ 35-45 เนื่องจากความสนใจของสื่อและแฟนคลับทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงสุด

การเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคให้มุมมองที่สำคัญเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสของโครงการ Paramio-Salcines และคณะ พบว่าประเทศในเอเชียที่พยายามจัดอีเวนต์กีฬาระดับโลกมักประสบปัญหาการบริหารจัดการทางการเงินและความไม่แน่นอนในการสนับสนุนจากภาคเอกชน กรณีของอินเดียเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความล้มเหลวในการบริหารจัดการแบบเอกชนเป็นผู้นำโดยไม่มีการค้ำประกันจากรัฐที่เข้มแข็งพอ การแข่งขัน Indian GP ประสบปัญหาเนื่องจากผู้จัดงานภาคเอกชนผิดนัดชำระค่าลิขสิทธิ์ให้กับ Dorna ส่งผลให้รัฐบาลรัฐอุตตรประเทศต้องเข้ามาแทรกแซงและจ่ายเงินโดยตรงเพื่อรักษาหน้าตาของประเทศ (16)

ประเด็นที่ดินเขากระโดงเป็นความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาลที่ร้ายแรงที่สุด ตามทฤษฎีผู้มีส่วนได้เสียของ Freeman (17) การที่โครงการภาครัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่มีกรณีพิพาทกรรมสิทธิ์ถือเป็นการละเมิดหลักความชอบธรรมซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของการกำกับดูแลที่ดีควบคู่กับความโปร่งใสและความรับผิดชอบ  ระบุว่าการขาดความชัดเจนในเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การรับรู้เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันในอีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่ (18,19)

เมื่อพิจารณาจากมุมมองของทฤษฎีการจัดการกีฬาเชิงวิพากษ์ที่พัฒนาโดย Horne โครงการนี้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของการใช้งบประมาณสาธารณะในยุคเสรีนิยมใหม่  (20,21) Harvey และคณะ ระบุว่าการจัดอีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่มักมีการเอื้อประโยชน์ทางอ้อมให้กับกลุ่มทุนที่มีอำนาจทางการเมือง การใช้ความภาคภูมิใจในชาติเป็นเครื่องมือปิดปากการวิพากษ์วิจารณ์ และการสร้างพันธะผูกมัดระยะยาวที่ลดทอนความยืดหยุ่นในการบริหารงบประมาณของรัฐบาลในอนาคต (22)

จากการวิเคราะห์อย่างรอบด้านตามกรอบทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัยในวารสารชั้นนำ สามารถสรุปได้ว่าการจัดการแข่งขัน MotoGP ในประเทศไทยมีความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาคและยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อการลงทุนที่เป็นบวก การได้เป็นสนามเปิดฤดูกาลที่ยกระดับภาพลักษณ์ประเทศ และโครงสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่แบ่งภาระอย่างชัดเจน รายได้จากภาษีที่ไหลกลับคืนสู่รัฐสูงกว่าเงินสมทบที่รัฐจ่ายออกไป แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในเชิงการคลังอย่างชัดเจน Taks และคณะ (23) สนับสนุนว่าการมีรายได้จากภาษีที่สูงกว่าเงินลงทุนเป็นตัวชี้วัดหลักของความสำเร็จทางเศรษฐกิจของอีเวนต์กีฬา

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้มีความเปราะบางในเชิงธรรมาภิบาลและความเสี่ยงทางกฎหมายที่ไม่สามารถมองข้ามได้ Misener และ Mason ระบุว่าความสำเร็จของอีเวนต์กีฬาไม่ได้วัดจากตัวเลขทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาถึงความชอบธรรม ความโปร่งใส และการสร้างมรดกที่ยั่งยืนให้กับชุมชนด้วย (24)  ประเด็นที่ดินเขากระโดงเป็นอุปสรรคหลักที่อาจบั่นทอนความชอบธรรมของโครงการทั้งหมดหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง เน้นย้ำว่าความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณและการรายงานผลการดำเนินงานต่อสาธารณะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและการยอมรับจากประชาชน (25)

ในฐานะนักวิชาการด้านการจัดการกีฬา ทางออกที่เหมาะสมตาม Smith และ Stewart ไม่ใช่การยกเลิกโครงการทันที ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของประเทศในเวทีโลก แต่เป็นการปรับโครงสร้างธรรมาภิบาลให้โปร่งใสขึ้น แก้ไขปัญหาที่ดินให้ถึงที่สุด และสร้างกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มงวด (26) และแนะนำว่าการเพิ่มความโปร่งใสควรรวมถึงการเผยแพร่รายงานการเงินรายปีของโครงการต่อสาธารณะ การแยกแสดงสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยอย่างชัดเจน และการเปิดเผยรายละเอียดสัญญาเท่าที่กฎหมายอนุญาต (27)

สุดท้าย โครงการนี้ควรถูกมองเป็นโครงการนำร่องสำหรับการพัฒนากรอบการกำกับดูแลอีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่ของประเทศไทย Weed ระบุว่าประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดอีเวนต์กีฬาขนาดใหญ่คือประเทศที่มีกรอบธรรมาภิบาลที่ชัดเจน มีการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบ และมีการสร้างมรดกที่ยั่งยืนให้กับชุมชน หากประเทศไทยสามารถดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้ได้ โครงการ MotoGP จะกลายเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการจัดอีเวนต์กีฬาระดับโลกอื่นๆ ในอนาคต แต่หากล้มเหลว ก็จะเป็นบทเรียนราคาแพงเกี่ยวกับความสำคัญของธรรมาภิบาลที่ดีในการใช้จ่ายงบประมาณสาธารณะ (28)

บรรณานุกรม (References)

1. Crompton JL. Economic impact analysis of sports facilities and events: Eleven sources of misapplication. J Sport Manag. 1995;9(1):14-35.

2. Crompton JL. Economic impact studies: Instruments for political shenanigans? J Travel Res. 2006;45(1):67-82.

3. Li S, Jago L. Evaluating economic impacts of major sports events: A meta analysis of the key trends. Sport Manag Rev. 2013;16(4):462-474.

4. Késenne S. Do we need an economic impact study or a cost-benefit analysis of a sports event? Eur Sport Manag Q. 2005;5(2):133-142.

5. Baade RA, Matheson VA. Going for the gold: The economics of the Olympics. J Econ Perspect. 2016;30(2):201-218.

6. Preuss H. The conceptualisation and measurement of mega sport event legacies. J Sport Tour. 2007;12(3-4):207-228.

7. Coates D, Humphreys BR. Do economists reach a conclusion on subsidies for sports franchises, stadiums, and mega-events? Econ J Watch. 2008;5(3):294-315.

8. Hodge GA, Greve C. On public-private partnership performance: A contemporary review. Public Works Manag Policy. 2017;22(1):55-78.

9. Horne J, Whannel G. Understanding the Olympics. 2nd ed. London: Routledge; 2016.

10. Masterman G. Strategic sports event management. 3rd ed. London: Routledge; 2014.

11. Getz D. Event studies: Discourses and future directions. Event Manag. 2012;16(2):171-187.

12. Chalip L. Trading legacy for leverage. In: Brittain I, Bocarro J, editors. J Policy Res Tour Leis Events. 2017;9(2):165-181.

13. Funk DC, James J. Consumer loyalty: The meaning of attachment in the development of sport team allegiance. J Sport Manag. 2006;20(2):189-217.

14. Gibson HJ. Sport tourism and theory and other developments: Some reflections. J Sport Tour. 2017;21(2):153-158.

15. Kaplanidou K, Vogt C. The interrelationship between sport event and destination image and sport tourists' behaviours. Sport Mark Q. 2007;16(4):183-206.

16. Paramio-Salcines JL, Downs P, Grady J. The management of sporting events in developing countries: An Asian perspective. Int J Sports Mark Spons. 2013;14(2):24-42.

17. Freeman RE. Strategic management: A stakeholder approach. Boston: Pitman Publishing; 1984.

18. Parent MM, Deephouse DL. A case study of stakeholder identification and prioritization by managers. J Sport Manag. 2007;21(1):1-23.

19. Sam MP. Understanding corruption and corrupt practices in procurement in the sports events industry. Sport Manag Rev. 2012;15(4):399-402.

20. Horne J. Sports mega-events: Three sites of contemporary political contestation. Commun Sport. 2017;5(3):259-279.

21. Boykoff J. Activism and the Olympics: Dissent at the Games in Vancouver and London. New Brunswick: Rutgers University Press; 2014.

22. Harvey J, Horne J, Safai P. Sport and social movements: From the local to the global. Eur Sport Manag Q. 2014;14(5):493-509.

23. Taks M, Késenne S, Chalip L, Green BC, Martyn S. Economic impact analysis versus cost benefit analysis: The case of a medium-sized sport event. J Sport Manag. 2015;29(6):653-668.

24. Misener L, Mason DS. Creating community networks: Can sporting events offer meaningful sources of social capital? Eur Sport Manag Q. 2006;6(2):163-181.

25. Leopkey B, Parent MM. Olympic Games legacy: From general benefits to sustainable long-term legacy. Sport Manag Rev. 2012;15(4):462-474.

26. Smith ACT, Stewart B. The special features of sport: A critical revisit. Sport Manag Rev. 2010;13(1):1-13.

27. VanWynsberghe R, Surborg B, Wyly E. When the games come to town: Neoliberalism, mega-events and social inclusion in the Vancouver 2010 Winter Olympic Games. J Sport Soc Issues. 2013;37(4):397-416.

28. Weed M. Is tourism a legitimate legacy from the Olympic and Paralympic Games? An analysis of London 2012 legacy strategy using programme theory. J Sport Tour. 2014;19(2):101-126.


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แยกทางอิชิอิ: ปัญหาเชิงโครงสร้างของฟุตบอลไทยที่ใครไม่เข้าใจ ?

Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

จากวีรบุรุษสู่คนชายขอบของสังคมไทย: บทเรียนสังคมวิทยาการกีฬาจากอำนาจ รื่นเริง