Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

 

ในโลกของกีฬาต่อสู้ ทั้งมวยไทย MMA คิกบ็อกซิ่ง หรือกีฬาต่อสู้ประเภทอื่นๆ นักกีฬาและผู้ฝึกสอนมักเตรียมแผนการแข่งขันหรือที่เรียกว่า "game plan" มาอย่างดี แต่ในสนามแข่งขันจริง สิ่งที่วางแผนไว้มักไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง Mike Tyson นักมวยระดับตำนานเคยกล่าวไว้ว่า "Everybody has a plan until they get punched in the mouth" คำกล่าวนี้สะท้อนความจริงที่ว่า ความสามารถในการปรับตัวและตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดกลายเป็นทักษะสำคัญที่แยกนักกีฬาระดับดีออกจากนักกีฬาระดับยอด สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักก็คือ การเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ที่แผนที่เราวางไว้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังนั้น จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการองค์ความรู้หลายสาขาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงการฝึกซ้ำทักษะเดิม ๆ หรือการมีกำลังใจ ที่ดีเท่านั้น

ตั้งต้นด้วยการวิเคราะห์สมรรถนะหรือ Performance Analysis ในกีฬาต่อสู้ไม่ได้หมายถึงเพียงการดูวิดีโอย้อนหลังหลังการแข่งขันเท่านั้น แต่รวมถึงความสามารถในการอ่านสถานการณ์ขณะแข่งขันแบบเรียลไทม์ด้วย งานวิจัย ที่ศึกษาเรื่อง perceptual-cognitive expertise พบว่านักกีฬาระดับสูงมีความสามารถในการจับสัญญาณหรือ pattern recognition และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้เร็วกว่านักกีฬาทั่วไปถึง 200-300 มิลลิวินาที (1) เรื่องนี้ผมเคยได้เรียนรู้จาก อ.ดร.พิชิต เมืองนาโพธิ์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาการกีฬาของประเทศไทย ในกีฬาต่อสู้เมื่อนักกีฬาได้มีการฝึกเกี่ยวกับ Imagery และกระบวนความคิด นักกีฬาสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้เร็วกว่าคู่แข่ง เช่นในกีฬามวยสากลสมัครเล่นปี 2008 และเทควันโด ซึ่งทำให้นักกีฬาสามารถคิดเลือกใช้รูปแบบในการต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความแตกต่างเล็กน้อยนี้กลายเป็นช่องว่างใหญ่ระหว่างการถูกโจมตีกับการหลบหลีกได้ทัน การพัฒนาทักษะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของสัญชาตญาณโดยกำเนิด แต่เป็นผลมาจากการฝึกฝนที่เหมาะสมและการสะสมประสบการณ์ที่หลากหลาย การฝึกการตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลา การวิเคราะห์คู่ต่อสู้ทั้งก่อนและระหว่างการแข่งขัน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเช่นระบบ Notational analysis เพื่อบันทึกและวิเคราะห์รูปแบบการโจมตี-รับ ความถี่ของเทคนิคต่างๆ และอัตราความสำเร็จ ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักกีฬาสามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านเกมและปรับตัวได้ดีขึ้น

ตัวชี้วัดสมรรถนะหรือ Key Performance Indicators ที่สำคัญในกีฬาต่อสู้ประกอบด้วย อัตราการโจมตีที่สำเร็จ ระยะการต่อสู้ การใช้พลังงานที่สามารถวัดได้ผ่านอัตราการเต้นของหัวใจ และความเร็วในการตอบโต้ การติดตามตัวชี้วัดเหล่านี้ระหว่างการแข่งขันช่วยให้นักกีฬาและผู้ฝึกสอนสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงทีระหว่างยก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และควรปรับไปในทิศทางใด การตัดสินใจนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลทางกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องอย่างมากกับปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งจะต้องทำงานสอดประสานกันไป สำหรับในวงการกีฬาต่อสู้สำหรับประเทศไทย เรามักจะมีความเข้าใจว่า จิตวิทยาการกีฬาคือการพานักกีฬาไปนั่งสมาธิ ซึ่งอาจจะถูกเพียงบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด นะครับ

มิติทางจิตวิทยาการกีฬาเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามหรือให้ความสำคัญน้อยกว่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องการตัดสินใจภายใต้ความกดดัน งานวิจัย เกี่ยวกับ Take-The-First heuristic พบว่าในสถานการณ์กดดัน นักกีฬาที่มีประสบการณ์สูงมักตัดสินใจเลือกทางเลือกแรกที่ดีพอ Enough แทนที่จะพยายามหาทางเลือกที่ดีที่สุด Perfection เพราะข้อจำกัดด้านเวลา (2) แนวคิด Recognition-Primed Decision Model หรือ RPD ของ Klein ในปี 1993 อธิบายเพิ่มเติมว่า นักกีฬาที่เชี่ยวชาญใช้ประสบการณ์ในอดีตจดจำสถานการณ์และเลือกการกระทำที่เหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ทางเหตุผลแบบช้าๆ (3) สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะการฝึกฝนที่สร้างคลังประสบการณ์ที่หลากหลาย การฝึกที่หลากหลายหรือ Variability of Practice จึงไม่จำกัดแค่การฝึกซ้ำๆ แต่เป็นการสร้างฐานข้อมูลของสมองที่สามารถดึงมาใช้ได้ในสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ดังนั้น ในนักกีฬาระดับสูง เราจึงมักใช้การจำลองสถานการณ์ในการฝึกซ้อม Scenarios Training แทนที่จะใช้การฝึกซ้อมแบบการฝึกซ้ำๆ เพียงอย่างเดียว

การจัดการอารมณ์และความเครียดเมื่อแผนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญ ทฤษฎี Individual Zones of Optimal Functioning หรือ IZOF ของ Hanin ในปี 2000 ชี้ให้เห็นว่านักกีฬาแต่ละคนมีระดับการกระตุ้นทางอารมณ์ที่เหมาะสมต่างกัน (4) บางคนแสดงความสามารถได้ดีที่สุดเมื่ออารมณ์รุนแรง ในขณะที่บางคนต้องการความสงบ การรู้จักจัดการอารมณ์ของตนเองจึงเป็นส่วนสำคัญของการปรับตัว การฝึกเทคนิค mindfulness และการควบคุมลมหายใจ การสร้างสถานการณ์จำลองในการฝึกซ้อมที่มีความผิดคาดเกิดขึ้น เช่น การให้คู่ซ้อมเปลี่ยนสไตล์กลางคู่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า และการฝึกการพูดกับตนเอง หรือ self-talk strategies ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักกีฬาสามารถกลับมาโฟกัสและปรับแผนได้เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย

ความยืดหยุ่นในการตัดสินใจหรือ Cognitive Flexibility คือความสามารถในการเปลี่ยนกลยุทธ์ทางความคิดเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง งานวิจัยของ Moore และคณะในปี 2012 พบว่านักกีฬาที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจสูงสามารถฟื้นตัวจากความผิดพลาดได้เร็วกว่า (5) การพัฒนาทักษะนี้สามารถทำได้ผ่านการฝึกแบบ scenario-based training ที่ให้นักกีฬาวางแผน A, B, C สำหรับสถานการณ์ต่างๆ และการทบทวนผลการแข่งขันหรือ post-performance review เพื่อวิเคราะห์ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องปรับแผนและเพราะเหตุใด การสร้างความเข้าใจในกระบวนการตัดสินใจของตนเองนี้ช่วยให้นักกีฬาสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นในอนาคต

นอกเหนือจากมิติทางจิตใจแล้ว การเรียนรู้ทักษะกลไกหรือ Motor Learning ก็มีบทบาทสำคัญต่อความสามารถในการปรับตัว Schmidt's Schema Theory ในปี 1975 อธิบายว่าการเรียนรู้ทักษะกลไกไม่ได้เกิดจากการท่องจำการเคลื่อนไหวที่แน่นอนตายตัว แต่เกิดจาก motor schema หรือกฎทั่วไปที่ช่วยให้สามารถปรับการเคลื่อนไหวในสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ (6) ตัวอย่างเช่น การซ้อมหมัดไม่ควรเป็นการทำท่าเดิมซ้ำๆ ในระยะเดิมทุกครั้ง แต่ควรซ้อมหมัดในระยะต่างๆ มุมต่างๆ และกับคู่ต่อสู้ที่มีสไตล์แตกต่างกัน สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิด Variable Practice ที่ช่วยพัฒนาความสามารถในการปรับประยุกต์ใช้ทักษะในสถานการณ์ที่หลากหลาย

งานวิจัยเกี่ยวกับการฝึกแบบสุ่มเทียบกับการฝึกแบบบล็อกพบสิ่งที่น่าสนใจ แม้ว่าการฝึกแบบบล็อก คือการฝึกทักษะเดียวกันซ้ำๆ จนชำนาญแล้วค่อยเปลี่ยนไปฝึกทักษะอื่น จะทำให้นักกีฬาดูเก่งขึ้นเร็วในระยะสั้น แต่การฝึกแบบสุ่ม คือการสลับฝึกทักษะต่างๆ ในเซสชั่นเดียว กลับทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและคงทนกว่า (7) ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Contextual Interference Effect ซึ่งหมายความว่าการมี "สิ่งแทรกสอด" หรือความซับซ้อนที่เหมาะสมในการฝึกซ้อนทำให้นักกีฬาพัฒนาความสามารถในการปรับตัวได้ดีขึ้น การสลับการซ้อมเทคนิคต่างๆ เช่น หมัด เตะ และการจับคละกัน แทนที่จะฝึกทีละอย่างจึงเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแม้จะดูยากกว่าในตอนแรก การใช้แนวทาง Constraint-led Approach โดยกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เช่น ห้ามใช้แขนขวา หรือต้องต่อสู้ในพื้นที่จำกัด ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่บังคับให้นักกีฬาต้องหาทางแก้ปัญหาใหม่และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการต่อสู้

ความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้แบบชัดแจ้งกับการเรียนรู้โดยปริยาย หรือ Explicit และ Implicit Motor Learning งานวิจัย พบว่าการเรียนรู้โดยปริยายมีข้อดีในสถานการณ์กดดัน เพราะไม่ต้องพึ่งพาความคิดมากเกินไป (8) การฝึกด้วยวิธี Analogy Learning หรือการเปรียบเทียบ เช่น การสอนให้หมัดโดยบอกว่า "เหมือนขว้างหิน" ช่วยให้นักกีฬาพัฒนาทักษะได้โดยอัตโนมัติมากขึ้น เมื่อถึงเวลาต้องใช้ในสถานการณ์จริงที่เต็มไปด้วยความกดดัน ทักษะที่เรียนรู้แบบนี้จะไม่พังง่ายเหมือนทักษะที่ต้องคิดทีละขั้นตอน

แม้ว่าการพัฒนาทางจิตใจและทักษะจะสำคัญ แต่สมรรถภาพทางกายก็เป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ แนวคิด Physical Literacy เน้นการพัฒนาความสามารถในการเคลื่อนไหวพื้นฐานที่หลากหลาย นักกีฬาที่มีพื้นฐานการเคลื่อนไหวที่กว้างขวาง หรือที่เรียกว่า broad motor foundation สามารถปรับตัวได้ดีกว่านักกีฬาที่ฝึกเฉพาะทางเกินไปตั้งแต่เนิ่นๆ การฝึกการเคลื่อนที่หลายทิศทาง ไม่เพียงแค่หน้า-หลัง และการฝึกกีฬาอื่นๆ เสริม เช่น ยิมนาสติก เพื่อพัฒนาการควบคุมร่างกาย ล้วนช่วยสร้างฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการปรับตัวในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

ระบบพลังงานในร่างกายก็มีความสำคัญต่อความสามารถในการดำเนินแผน B และ C ได้โดยไม่หมดแรงเร็ว ในกีฬาต่อสู้ ร่างกายใช้ระบบพลังงานสามระบบร่วมกัน ได้แก่ ATP-PC System สำหรับการระเบิดและพลังแรงใน 0-10 วินาทีแรก, Glycolytic System สำหรับการต่อยกันหนักในช่วง 10 วินาทีถึง 2 นาที และ Oxidative System สำหรับความอดทนตั้งแต่ 2 นาทีขึ้นไป การพัฒนาทั้งสามระบบอย่างสมดุลทำให้นักกีฬาสามารถปรับเปลี่ยนจังหวะการต่อสู้ได้ตามต้องการ การฝึก High-Intensity Interval Training หรือ HIIT เพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวระหว่างยก การฝึก Cardiac Output Training สร้างความอดทน และการฝึก Alactic Power Training พัฒนาพลังในการระเบิด ทั้งหมดนี้ทำให้นักกีฬามีทางเลือกมากขึ้นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ระหว่างการแข่งขัน

    ความแข็งแรงและอัตราการสร้างแรง หรือ Rate of Force Development เป็นคุณสมบัติทางกายที่สำคัญต่อความสามารถในการปรับตัว งานวิจัย แนะนำการฝึก Plyometric Training เพื่อพัฒนาความสามารถในการสร้างแรงอย่างรวดเร็ว การฝึกแบบ Complex Training ที่ผสมผสานการฝึกแรงและการฝึกพลัง และการฝึกที่ความเร็วต่างๆ หรือ Movement Velocity Training เพื่อให้สามารถปรับความเร็วได้ตามสถานการณ์ (9) คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้นักกีฬาสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะต้องเพิ่มความเร็ว ลดความเร็ว หรือเปลี่ยนทิศทาง

    หลายคนมองข้ามคือผลกระทบของการฟื้นตัวต่อความสามารถในการตัดสินใจ งานวิจัยของ Fullagar และคณะในปี 2015 พบว่าการนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลเสียอย่างมีนัยสำคัญต่อความเร็วในการตัดสินใจและความแม่นยำ (10) ความพร้อมของร่างกายจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่รวมถึงการพักผ่อน การนอนหลับที่มีคุณภาพ และการจัดการความเหนื่อยล้าด้วย เครื่องมือติดตามความพร้อม เช่น การวัด Heart Rate Variability หรือ HRV แบบสอบถามความพร้อมก่อนการฝึก และการติดตามคุณภาพการนอนหลับ ช่วยให้สามารถปรับแผนการฝึกได้ตามสภาพร่างกายจริง ป้องกันการฝึกมากเกินไปที่อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง

    การบูรณาการทุกมิติเข้าด้วยกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนานักกีฬาที่สามารถปรับตัวได้อย่างแท้จริง แผนการฝึกที่มีประสิทธิภาพควรครอบคลุมทั้งการพัฒนาเทคนิค-กลยุทธ์ในสถานการณ์ที่หลากหลาย การพัฒนาความแข็งแรงและพลัง การฝึกทักษะทางจิตใจ การซ้อมจริงที่มีเงื่อนไขบังคับให้ปรับตัว การพัฒนาระบบพลังงาน และการฟื้นตัวที่เหมาะสม วงจรของการวางแผน ลงปฏิบัติ วิเคราะห์ สะท้อนผล และปรับปรุง หรือที่เรียกว่า Performance Analysis Loop ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงหลังการแข่งขันใหญ่เท่านั้น แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกประจำวัน

    เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยสนับสนุนกระบวนการนี้ได้อย่างมาก ซอฟต์แวร์วิเคราะห์วิดีโอเช่น Dartfish หรือ Hudl ช่วยในการศึกษาเทคนิค เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้เช่น Heart rate monitors ให้ข้อมูลสมรรถภาพแบบเรียลไทม์ Virtual Reality สามารถใช้ฝึกการตัดสินใจในสถานการณ์จำลองได้โดยไม่มีความเสี่ยงทางกาย และ Force Plates วัดพลังและความเร็วในการเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่คำตอบ การใช้เทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับความเข้าใจในหลักการทางวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของนักกีฬาแต่ละคน

    กรณีศึกษาจากงานวิจัยของ James และคณะในปี 2017 ที่ศึกษานักกีฬา UFC ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ พวกเขาพบว่านักกีฬาที่ชนะการแข่งขันมักปรับกลยุทธ์ได้เร็วกว่า โดยปกติภายในยกที่ 1-2 ความสามารถในการเปลี่ยนระยะต่อสู้ ตั้งแต่การชกจากระยะไกล การต่อสู้ระยะประชิด ไปจนถึงการต่อสู้บนพื้น เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จ และที่น่าสนใจที่สุดคือ นักกีฬาที่มีพื้นฐานหลายศาสตร์หรือ multi-disciplinary background สามารถปรับตัวได้ดีกว่านักกีฬาที่มาจากศาสตร์เดียว (11) ข้อค้นพบนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่าความหลากหลายในการฝึกซ้อนและการเรียนรู้หลายศาสตร์ไม่ได้ทำให้นักกีฬาไม่เชี่ยวชาญ แต่กลับทำให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ดีกว่า

    สิ่งที่ควรเน้นย้ำคือ การพัฒนาความสามารถในการปรับตัวไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน มันต้องอาศัยเวลา ความอดทน และการฝึกฝนอย่างมีระบบ นักกีฬาหลายคนและโค้ชหลายคนเข้าใจผิดว่าการซ้อมหนักและการทำซ้ำมากๆ จะนำไปสู่ความเก่ง แต่ความจริงคือ คุณภาพของการฝึกซ้อมสำคัญกว่าปริมาณ การฝึกที่ท้าทายนักกีฬาให้คิด ให้ตัดสินใจ ให้แก้ปัญหา และให้ปรับตัว จะสร้างนักกีฬาที่มีคุณภาพกว่าการฝึกซ้ำท่าเดิมหลายพันครั้ง ดังนั้น game plan ที่แท้จริงไม่ใช่แผนที่วางไว้ก่อนการแข่งขันเท่านั้น แต่รวมถึงการเตรียมความพร้อมทั้งทางกาย จิตใจ และทักษะให้สามารถสร้างแผนใหม่ได้ทันทีเมื่อสถานการณ์ต้องการ

นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คนที่มีแผนที่ดีที่สุด แต่เป็นคนที่ปรับตัวได้ดีที่สุดเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักก็คือ ความสามารถในการปรับตัวนี้ไม่ใช่พรสวรรค์โดยกำเนิด แต่เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ผ่านการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์สมรรถนะอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาทักษะทางจิตวิทยา การเรียนรู้ทักษะกลไกที่เน้นความหลากหลายและการถ่ายโอนทักษะ รวมทั้งการสร้างสมรรถภาพทางกายที่แข็งแกร่งและรอบด้าน เมื่อบูรณาการทุกองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม นักกีฬาจะสามารถพัฒนาจาก "นักกีฬาที่มีแผน" เป็น "นักกีฬาที่สามารถเขียนแผนใหม่ได้ทุกเมื่อ" ซึ่งนั่นคือ game planning ที่แท้จริงที่หลายคนมองข้าม การฝึกที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ได้มุ่งแค่เตรียมนักกีฬาสำหรับสิ่งที่คาดหวัง แต่ต้องเตรียมให้พร้อมสำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วย เพราะในสนามแข่งขันจริง สิ่งที่ไม่คาดคิดนั่นแหละคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด

เอกสารอ้างอิง

1.       Williams AM, Jackson RC. Anticipation in sport: fifty years on, what have we learned and what research still needs to be undertaken? Int Rev Sport Exerc Psychol. 2019;12(1):6-31.

2.       Raab M, Johnson JG. Expertise-based differences in search and option-generation strategies. J Exp Psychol Appl. 2007;13(3):158-70.

3.       Klein G. A recognition-primed decision (RPD) model of rapid decision making. In: Klein G, Orasanu J, Calderwood R, Zsambok CE, editors. Decision making in action: Models and methods. Norwood, NJ: Ablex; 1993. p. 138-47.

4.       Hanin YL. Individual zones of optimal functioning (IZOF) model: Emotion-performance relationships in sport. In: Hanin YL, editor. Emotions in sport. Champaign, IL: Human Kinetics; 2000. p. 65-89.

5.       Moore LJ, Vine SJ, Wilson MR, Freeman P. The effect of challenge and threat states on performance: An examination of potential mechanisms. Psychophysiology. 2012;49(10):1417-25.

6.       Schmidt RA. A schema theory of discrete motor skill learning. Psychol Rev. 1975;82(4):225-60.

7.       Shea JB, Morgan RL. Contextual interference effects on the acquisition, retention, and transfer of a motor skill. J Exp Psychol Hum Learn. 1979;5(2):179-87.

8.       Masters RS. Theoretical aspects of implicit learning in sport. Int J Sport Psychol. 2000;31(4):530-41.

9.       Suchomel TJ, Nimphius S, Bellon CR, Stone MH. The importance of muscular strength: training considerations. Sports Med. 2018;48(4):765-85.

10.   Fullagar HH, Skorski S, Duffield R, Hammes D, Coutts AJ, Meyer T. Sleep and athletic performance: the effects of sleep loss on exercise performance, and physiological and cognitive responses to exercise. Sports Med. 2015;45(2):161-86.

11.   James LP, Robertson S, Haff GG, Beckman EM, Kelly VG. Identifying the performance characteristics of a winning outcome in elite mixed martial arts competition. J Sci Med Sport. 2017;20(3):296-301.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขนาดนวม: ความเชื่อ ความจริง และการป้องกันการบาดเจ็บ ในนักกีฬาต่อสู้

มวยไทย: ศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ได้เป็นของประเทศไทยเพียงชาติเดียว กับกระแสการไหลบ่าของวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้