Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก
ในโลกของกีฬาต่อสู้
ทั้งมวยไทย MMA
คิกบ็อกซิ่ง หรือกีฬาต่อสู้ประเภทอื่นๆ
นักกีฬาและผู้ฝึกสอนมักเตรียมแผนการแข่งขันหรือที่เรียกว่า "game
plan" มาอย่างดี แต่ในสนามแข่งขันจริง
สิ่งที่วางแผนไว้มักไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง Mike Tyson นักมวยระดับตำนานเคยกล่าวไว้ว่า
"Everybody has a plan until they get punched in the mouth" คำกล่าวนี้สะท้อนความจริงที่ว่า
ความสามารถในการปรับตัวและตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดกลายเป็นทักษะสำคัญที่แยกนักกีฬาระดับดีออกจากนักกีฬาระดับยอด
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักก็คือ การเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ที่แผนที่เราวางไว้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังนั้น
จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการองค์ความรู้หลายสาขาอย่างเป็นระบบ
ไม่ใช่เพียงการฝึกซ้ำทักษะเดิม ๆ หรือการมีกำลังใจ ที่ดีเท่านั้น
ตั้งต้นด้วยการวิเคราะห์สมรรถนะหรือ
Performance
Analysis ในกีฬาต่อสู้ไม่ได้หมายถึงเพียงการดูวิดีโอย้อนหลังหลังการแข่งขันเท่านั้น
แต่รวมถึงความสามารถในการอ่านสถานการณ์ขณะแข่งขันแบบเรียลไทม์ด้วย งานวิจัย ที่ศึกษาเรื่อง
perceptual-cognitive expertise พบว่านักกีฬาระดับสูงมีความสามารถในการจับสัญญาณหรือ
pattern recognition และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้เร็วกว่านักกีฬาทั่วไปถึง
200-300 มิลลิวินาที (1) เรื่องนี้ผมเคยได้เรียนรู้จาก
อ.ดร.พิชิต เมืองนาโพธิ์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาการกีฬาของประเทศไทย ในกีฬาต่อสู้เมื่อนักกีฬาได้มีการฝึกเกี่ยวกับ
Imagery และกระบวนความคิด
นักกีฬาสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้เร็วกว่าคู่แข่ง เช่นในกีฬามวยสากลสมัครเล่นปี
2008 และเทควันโด ซึ่งทำให้นักกีฬาสามารถคิดเลือกใช้รูปแบบในการต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งความแตกต่างเล็กน้อยนี้กลายเป็นช่องว่างใหญ่ระหว่างการถูกโจมตีกับการหลบหลีกได้ทัน
การพัฒนาทักษะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของสัญชาตญาณโดยกำเนิด
แต่เป็นผลมาจากการฝึกฝนที่เหมาะสมและการสะสมประสบการณ์ที่หลากหลาย
การฝึกการตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลา การวิเคราะห์คู่ต่อสู้ทั้งก่อนและระหว่างการแข่งขัน
รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเช่นระบบ Notational analysis เพื่อบันทึกและวิเคราะห์รูปแบบการโจมตี-รับ
ความถี่ของเทคนิคต่างๆ และอัตราความสำเร็จ
ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักกีฬาสามารถพัฒนาความสามารถในการอ่านเกมและปรับตัวได้ดีขึ้น
ตัวชี้วัดสมรรถนะหรือ
Key
Performance Indicators ที่สำคัญในกีฬาต่อสู้ประกอบด้วย
อัตราการโจมตีที่สำเร็จ ระยะการต่อสู้
การใช้พลังงานที่สามารถวัดได้ผ่านอัตราการเต้นของหัวใจ และความเร็วในการตอบโต้
การติดตามตัวชี้วัดเหล่านี้ระหว่างการแข่งขันช่วยให้นักกีฬาและผู้ฝึกสอนสามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงทีระหว่างยก
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ
การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และควรปรับไปในทิศทางใด
การตัดสินใจนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลทางกายภาพเพียงอย่างเดียว
แต่เกี่ยวข้องอย่างมากกับปัจจัยทางจิตวิทยา ซึ่งจะต้องทำงานสอดประสานกันไป สำหรับในวงการกีฬาต่อสู้สำหรับประเทศไทย
เรามักจะมีความเข้าใจว่า จิตวิทยาการกีฬาคือการพานักกีฬาไปนั่งสมาธิ ซึ่งอาจจะถูกเพียงบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด
นะครับ
มิติทางจิตวิทยาการกีฬาเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามหรือให้ความสำคัญน้อยกว่าที่ควร
โดยเฉพาะเรื่องการตัดสินใจภายใต้ความกดดัน งานวิจัย เกี่ยวกับ Take-The-First
heuristic พบว่าในสถานการณ์กดดัน
นักกีฬาที่มีประสบการณ์สูงมักตัดสินใจเลือกทางเลือกแรกที่ดีพอ Enough แทนที่จะพยายามหาทางเลือกที่ดีที่สุด Perfection
เพราะข้อจำกัดด้านเวลา (2) แนวคิด Recognition-Primed
Decision Model หรือ RPD ของ Klein ในปี 1993 อธิบายเพิ่มเติมว่า
นักกีฬาที่เชี่ยวชาญใช้ประสบการณ์ในอดีตจดจำสถานการณ์และเลือกการกระทำที่เหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ
โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ทางเหตุผลแบบช้าๆ (3) สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะการฝึกฝนที่สร้างคลังประสบการณ์ที่หลากหลาย
การฝึกที่หลากหลายหรือ Variability of Practice จึงไม่จำกัดแค่การฝึกซ้ำๆ
แต่เป็นการสร้างฐานข้อมูลของสมองที่สามารถดึงมาใช้ได้ในสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
ดังนั้น ในนักกีฬาระดับสูง เราจึงมักใช้การจำลองสถานการณ์ในการฝึกซ้อม Scenarios
Training แทนที่จะใช้การฝึกซ้อมแบบการฝึกซ้ำๆ เพียงอย่างเดียว
การจัดการอารมณ์และความเครียดเมื่อแผนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเป็นอีกหนึ่งทักษะที่สำคัญ
ทฤษฎี Individual
Zones of Optimal Functioning หรือ IZOF ของ Hanin
ในปี 2000 ชี้ให้เห็นว่านักกีฬาแต่ละคนมีระดับการกระตุ้นทางอารมณ์ที่เหมาะสมต่างกัน
(4) บางคนแสดงความสามารถได้ดีที่สุดเมื่ออารมณ์รุนแรง
ในขณะที่บางคนต้องการความสงบ
การรู้จักจัดการอารมณ์ของตนเองจึงเป็นส่วนสำคัญของการปรับตัว การฝึกเทคนิค mindfulness
และการควบคุมลมหายใจ
การสร้างสถานการณ์จำลองในการฝึกซ้อมที่มีความผิดคาดเกิดขึ้น เช่น
การให้คู่ซ้อมเปลี่ยนสไตล์กลางคู่โดยไม่แจ้งล่วงหน้า และการฝึกการพูดกับตนเอง หรือ
self-talk strategies ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักกีฬาสามารถกลับมาโฟกัสและปรับแผนได้เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย
ความยืดหยุ่นในการตัดสินใจหรือ
Cognitive
Flexibility คือความสามารถในการเปลี่ยนกลยุทธ์ทางความคิดเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
งานวิจัยของ Moore และคณะในปี 2012 พบว่านักกีฬาที่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจสูงสามารถฟื้นตัวจากความผิดพลาดได้เร็วกว่า
(5) การพัฒนาทักษะนี้สามารถทำได้ผ่านการฝึกแบบ scenario-based
training ที่ให้นักกีฬาวางแผน A, B, C สำหรับสถานการณ์ต่างๆ
และการทบทวนผลการแข่งขันหรือ post-performance review เพื่อวิเคราะห์ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องปรับแผนและเพราะเหตุใด
การสร้างความเข้าใจในกระบวนการตัดสินใจของตนเองนี้ช่วยให้นักกีฬาสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นในอนาคต
นอกเหนือจากมิติทางจิตใจแล้ว
การเรียนรู้ทักษะกลไกหรือ Motor
Learning ก็มีบทบาทสำคัญต่อความสามารถในการปรับตัว Schmidt's
Schema Theory ในปี 1975 อธิบายว่าการเรียนรู้ทักษะกลไกไม่ได้เกิดจากการท่องจำการเคลื่อนไหวที่แน่นอนตายตัว
แต่เกิดจาก motor schema หรือกฎทั่วไปที่ช่วยให้สามารถปรับการเคลื่อนไหวในสถานการณ์ใหม่ๆ
ได้ (6) ตัวอย่างเช่น การซ้อมหมัดไม่ควรเป็นการทำท่าเดิมซ้ำๆ
ในระยะเดิมทุกครั้ง แต่ควรซ้อมหมัดในระยะต่างๆ มุมต่างๆ
และกับคู่ต่อสู้ที่มีสไตล์แตกต่างกัน สิ่งนี้สอดคล้องกับแนวคิด Variable
Practice ที่ช่วยพัฒนาความสามารถในการปรับประยุกต์ใช้ทักษะในสถานการณ์ที่หลากหลาย
งานวิจัยเกี่ยวกับการฝึกแบบสุ่มเทียบกับการฝึกแบบบล็อกพบสิ่งที่น่าสนใจ
แม้ว่าการฝึกแบบบล็อก คือการฝึกทักษะเดียวกันซ้ำๆ
จนชำนาญแล้วค่อยเปลี่ยนไปฝึกทักษะอื่น จะทำให้นักกีฬาดูเก่งขึ้นเร็วในระยะสั้น
แต่การฝึกแบบสุ่ม คือการสลับฝึกทักษะต่างๆ ในเซสชั่นเดียว กลับทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งและคงทนกว่า
(7)
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Contextual Interference Effect
ซึ่งหมายความว่าการมี "สิ่งแทรกสอด"
หรือความซับซ้อนที่เหมาะสมในการฝึกซ้อนทำให้นักกีฬาพัฒนาความสามารถในการปรับตัวได้ดีขึ้น
การสลับการซ้อมเทคนิคต่างๆ เช่น หมัด เตะ และการจับคละกัน
แทนที่จะฝึกทีละอย่างจึงเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าแม้จะดูยากกว่าในตอนแรก
การใช้แนวทาง Constraint-led Approach โดยกำหนดเงื่อนไขต่างๆ
เช่น ห้ามใช้แขนขวา หรือต้องต่อสู้ในพื้นที่จำกัด
ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่บังคับให้นักกีฬาต้องหาทางแก้ปัญหาใหม่และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการต่อสู้
ความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้แบบชัดแจ้งกับการเรียนรู้โดยปริยาย
หรือ Explicit
และ Implicit Motor Learning งานวิจัย พบว่าการเรียนรู้โดยปริยายมีข้อดีในสถานการณ์กดดัน
เพราะไม่ต้องพึ่งพาความคิดมากเกินไป (8) การฝึกด้วยวิธี Analogy
Learning หรือการเปรียบเทียบ เช่น การสอนให้หมัดโดยบอกว่า
"เหมือนขว้างหิน" ช่วยให้นักกีฬาพัฒนาทักษะได้โดยอัตโนมัติมากขึ้น
เมื่อถึงเวลาต้องใช้ในสถานการณ์จริงที่เต็มไปด้วยความกดดัน
ทักษะที่เรียนรู้แบบนี้จะไม่พังง่ายเหมือนทักษะที่ต้องคิดทีละขั้นตอน
แม้ว่าการพัฒนาทางจิตใจและทักษะจะสำคัญ
แต่สมรรถภาพทางกายก็เป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ แนวคิด Physical
Literacy
เน้นการพัฒนาความสามารถในการเคลื่อนไหวพื้นฐานที่หลากหลาย
นักกีฬาที่มีพื้นฐานการเคลื่อนไหวที่กว้างขวาง หรือที่เรียกว่า broad
motor foundation สามารถปรับตัวได้ดีกว่านักกีฬาที่ฝึกเฉพาะทางเกินไปตั้งแต่เนิ่นๆ
การฝึกการเคลื่อนที่หลายทิศทาง ไม่เพียงแค่หน้า-หลัง และการฝึกกีฬาอื่นๆ เสริม
เช่น ยิมนาสติก เพื่อพัฒนาการควบคุมร่างกาย
ล้วนช่วยสร้างฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการปรับตัวในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
ระบบพลังงานในร่างกายก็มีความสำคัญต่อความสามารถในการดำเนินแผน
B
และ C ได้โดยไม่หมดแรงเร็ว ในกีฬาต่อสู้
ร่างกายใช้ระบบพลังงานสามระบบร่วมกัน ได้แก่ ATP-PC System สำหรับการระเบิดและพลังแรงใน
0-10 วินาทีแรก, Glycolytic System สำหรับการต่อยกันหนักในช่วง
10 วินาทีถึง 2 นาที และ Oxidative
System สำหรับความอดทนตั้งแต่ 2 นาทีขึ้นไป
การพัฒนาทั้งสามระบบอย่างสมดุลทำให้นักกีฬาสามารถปรับเปลี่ยนจังหวะการต่อสู้ได้ตามต้องการ
การฝึก High-Intensity Interval Training หรือ HIIT เพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวระหว่างยก การฝึก Cardiac Output
Training สร้างความอดทน และการฝึก Alactic Power Training พัฒนาพลังในการระเบิด
ทั้งหมดนี้ทำให้นักกีฬามีทางเลือกมากขึ้นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ระหว่างการแข่งขัน
ความแข็งแรงและอัตราการสร้างแรง
หรือ Rate
of Force Development เป็นคุณสมบัติทางกายที่สำคัญต่อความสามารถในการปรับตัว
งานวิจัย แนะนำการฝึก Plyometric Training เพื่อพัฒนาความสามารถในการสร้างแรงอย่างรวดเร็ว
การฝึกแบบ Complex Training ที่ผสมผสานการฝึกแรงและการฝึกพลัง
และการฝึกที่ความเร็วต่างๆ หรือ Movement Velocity Training เพื่อให้สามารถปรับความเร็วได้ตามสถานการณ์ (9) คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้นักกีฬาสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะต้องเพิ่มความเร็ว ลดความเร็ว หรือเปลี่ยนทิศทาง
หลายคนมองข้ามคือผลกระทบของการฟื้นตัวต่อความสามารถในการตัดสินใจ
งานวิจัยของ Fullagar
และคณะในปี 2015 พบว่าการนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลเสียอย่างมีนัยสำคัญต่อความเร็วในการตัดสินใจและความแม่นยำ
(10) ความพร้อมของร่างกายจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของกล้ามเนื้อแข็งแรง
แต่รวมถึงการพักผ่อน การนอนหลับที่มีคุณภาพ และการจัดการความเหนื่อยล้าด้วย
เครื่องมือติดตามความพร้อม เช่น การวัด Heart Rate Variability หรือ HRV แบบสอบถามความพร้อมก่อนการฝึก
และการติดตามคุณภาพการนอนหลับ ช่วยให้สามารถปรับแผนการฝึกได้ตามสภาพร่างกายจริง
ป้องกันการฝึกมากเกินไปที่อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง
การบูรณาการทุกมิติเข้าด้วยกันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนานักกีฬาที่สามารถปรับตัวได้อย่างแท้จริง
แผนการฝึกที่มีประสิทธิภาพควรครอบคลุมทั้งการพัฒนาเทคนิค-กลยุทธ์ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
การพัฒนาความแข็งแรงและพลัง การฝึกทักษะทางจิตใจ การซ้อมจริงที่มีเงื่อนไขบังคับให้ปรับตัว
การพัฒนาระบบพลังงาน และการฟื้นตัวที่เหมาะสม วงจรของการวางแผน ลงปฏิบัติ
วิเคราะห์ สะท้อนผล และปรับปรุง หรือที่เรียกว่า Performance Analysis Loop ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงหลังการแข่งขันใหญ่เท่านั้น
แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกประจำวัน
เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยสนับสนุนกระบวนการนี้ได้อย่างมาก
ซอฟต์แวร์วิเคราะห์วิดีโอเช่น Dartfish หรือ Hudl ช่วยในการศึกษาเทคนิค เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้เช่น Heart rate
monitors ให้ข้อมูลสมรรถภาพแบบเรียลไทม์ Virtual Reality สามารถใช้ฝึกการตัดสินใจในสถานการณ์จำลองได้โดยไม่มีความเสี่ยงทางกาย และ Force
Plates วัดพลังและความเร็วในการเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่ใช่คำตอบ
การใช้เทคโนโลยีต้องมาพร้อมกับความเข้าใจในหลักการทางวิทยาศาสตร์และการประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของนักกีฬาแต่ละคน
กรณีศึกษาจากงานวิจัยของ
James
และคณะในปี 2017 ที่ศึกษานักกีฬา UFC ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ
พวกเขาพบว่านักกีฬาที่ชนะการแข่งขันมักปรับกลยุทธ์ได้เร็วกว่า โดยปกติภายในยกที่ 1-2
ความสามารถในการเปลี่ยนระยะต่อสู้ ตั้งแต่การชกจากระยะไกล
การต่อสู้ระยะประชิด ไปจนถึงการต่อสู้บนพื้น เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จ
และที่น่าสนใจที่สุดคือ นักกีฬาที่มีพื้นฐานหลายศาสตร์หรือ multi-disciplinary
background สามารถปรับตัวได้ดีกว่านักกีฬาที่มาจากศาสตร์เดียว (11)
ข้อค้นพบนี้สนับสนุนแนวคิดที่ว่าความหลากหลายในการฝึกซ้อนและการเรียนรู้หลายศาสตร์ไม่ได้ทำให้นักกีฬาไม่เชี่ยวชาญ
แต่กลับทำให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ดีกว่า
สิ่งที่ควรเน้นย้ำคือ
การพัฒนาความสามารถในการปรับตัวไม่ใช่กระบวนการที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน
มันต้องอาศัยเวลา ความอดทน และการฝึกฝนอย่างมีระบบ
นักกีฬาหลายคนและโค้ชหลายคนเข้าใจผิดว่าการซ้อมหนักและการทำซ้ำมากๆ
จะนำไปสู่ความเก่ง แต่ความจริงคือ คุณภาพของการฝึกซ้อมสำคัญกว่าปริมาณ
การฝึกที่ท้าทายนักกีฬาให้คิด ให้ตัดสินใจ ให้แก้ปัญหา และให้ปรับตัว
จะสร้างนักกีฬาที่มีคุณภาพกว่าการฝึกซ้ำท่าเดิมหลายพันครั้ง ดังนั้น game plan ที่แท้จริงไม่ใช่แผนที่วางไว้ก่อนการแข่งขันเท่านั้น
แต่รวมถึงการเตรียมความพร้อมทั้งทางกาย จิตใจ
และทักษะให้สามารถสร้างแผนใหม่ได้ทันทีเมื่อสถานการณ์ต้องการ
นักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่คนที่มีแผนที่ดีที่สุด
แต่เป็นคนที่ปรับตัวได้ดีที่สุดเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน
ความจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักก็คือ ความสามารถในการปรับตัวนี้ไม่ใช่พรสวรรค์โดยกำเนิด
แต่เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ผ่านการประยุกต์ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างเป็นระบบ
การวิเคราะห์สมรรถนะอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาทักษะทางจิตวิทยา
การเรียนรู้ทักษะกลไกที่เน้นความหลากหลายและการถ่ายโอนทักษะ
รวมทั้งการสร้างสมรรถภาพทางกายที่แข็งแกร่งและรอบด้าน
เมื่อบูรณาการทุกองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม
นักกีฬาจะสามารถพัฒนาจาก "นักกีฬาที่มีแผน" เป็น
"นักกีฬาที่สามารถเขียนแผนใหม่ได้ทุกเมื่อ" ซึ่งนั่นคือ game planning ที่แท้จริงที่หลายคนมองข้าม การฝึกที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ได้มุ่งแค่เตรียมนักกีฬาสำหรับสิ่งที่คาดหวัง
แต่ต้องเตรียมให้พร้อมสำหรับสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วย เพราะในสนามแข่งขันจริง
สิ่งที่ไม่คาดคิดนั่นแหละคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด
เอกสารอ้างอิง
1.
Williams AM, Jackson RC.
Anticipation in sport: fifty years on, what have we learned and what research
still needs to be undertaken? Int Rev Sport Exerc Psychol. 2019;12(1):6-31.
2.
Raab M, Johnson JG.
Expertise-based differences in search and option-generation strategies. J Exp
Psychol Appl. 2007;13(3):158-70.
3.
Klein G. A recognition-primed
decision (RPD) model of rapid decision making. In: Klein G, Orasanu J,
Calderwood R, Zsambok CE, editors. Decision making in action: Models and
methods. Norwood, NJ: Ablex; 1993. p. 138-47.
4.
Hanin YL. Individual zones of
optimal functioning (IZOF) model: Emotion-performance relationships in sport.
In: Hanin YL, editor. Emotions in sport. Champaign, IL: Human Kinetics; 2000.
p. 65-89.
5.
Moore LJ, Vine SJ, Wilson MR,
Freeman P. The effect of challenge and threat states on performance: An
examination of potential mechanisms. Psychophysiology. 2012;49(10):1417-25.
6.
Schmidt RA. A schema theory of
discrete motor skill learning. Psychol Rev. 1975;82(4):225-60.
7.
Shea JB, Morgan RL. Contextual
interference effects on the acquisition, retention, and transfer of a motor
skill. J Exp Psychol Hum Learn. 1979;5(2):179-87.
8.
Masters RS. Theoretical aspects
of implicit learning in sport. Int J Sport Psychol. 2000;31(4):530-41.
9.
Suchomel TJ, Nimphius S, Bellon
CR, Stone MH. The importance of muscular strength: training considerations.
Sports Med. 2018;48(4):765-85.
10.
Fullagar HH, Skorski S,
Duffield R, Hammes D, Coutts AJ, Meyer T. Sleep and athletic performance: the
effects of sleep loss on exercise performance, and physiological and cognitive
responses to exercise. Sports Med. 2015;45(2):161-86.
11.
James LP, Robertson S, Haff GG,
Beckman EM, Kelly VG. Identifying the performance characteristics of a winning
outcome in elite mixed martial arts competition. J Sci Med Sport.
2017;20(3):296-301.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น