โปรแกรมพัฒนานักกีฬาหลังเกษียณ: บูรณาการนโยบายระดับชาติ (SPLISS) กับพัฒนาการตลอดช่วงชีวิต (LTAD)


บทความนี้ผู้เขียนได้รับแรงบันดาลใจ มาจากปัญหาทางด้านสังคมของนักกีฬาไทย โดยเฉพาะนักกีฬาที่ลำบากที่สุด นั่นก็คือ มวยไทย มวยสากล ซึ่ง มวยไทย ถูกจัดให้เป็นซอฟท์พาวเวอร์ของชาติ แต่ทำไมนักมวยไทยหลายคนจึงไม่ได้มีความเป็นอยู่ หรือ คุณภาพชีวิตที่ดีพอ หลังจากที่แขวนนวม นักกีฬาทีมชาติหลายคนที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชีวิต หรือ สิ่งที่ทำอยู่ภายหลังจากเกษียณแล้ว คงจะมีอยู่ไม่น้อย และผมก็อยากจะสะท้อนภาพเหล่านี้ไปยังผู้มีอำนาจ ที่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะต้องมีระบบในการดูแล และพัฒนานักกีฬาหลังเกษียณ เสียที ไม่ใช่ ป่วยที เจ็บที ก็มาเรี่ยไร หรือบริจาคช่วยหลือ นั่นคือเรากำลังพูดถึงมิติทางเศรษฐสังคม และความยั่งยืนในการจัดการและการช่วยเหลือ เพราะนี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ฮีโร่ของประเทศชาติ หรือผู้ที่อุทิศตัวในการฝึกซ้อม เสียสละ เพื่อเป็นตัวแทนของชาติควรจะได้รับ หลายคนคงมีคำถามแล้วว่า ทำไมถึงไม่รับราชาการ มั่นคงดี นักกีฬาส่วนใหญ่ก็รับราชการ ผมอยากจะบอกว่า ทุกคนมีความแตกต่าง ความรู้ความสามารถก็ไม่เท่าเทียมกัน พื้นที่ที่รัฐมีให้ ในหน่วยงานราชการก็มีจำกัดเช่นกัน วันนี้เลยนำบทความมาฝากกัน อ่านแล้วต้องคิดและจินตนาการ ตามไปด้วยนะครับ 

เมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายในสนาม  ได้ปิดฉาก “อาชีพ” ของนักกีฬาเท่านั้น และอาจจะสั่นคลอน “อัตลักษณ์” และ “ระบบสนับสนุนต่างๆ” ที่ค้ำจุนชีวิตท การออกแบบโปรแกรมพัฒนานักกีฬาหลังเกษียณจึงต้องไปไกลกว่าคอร์สอบรมรายหัว แต่เชื่อมโยงระหว่าง นโยบายชาติ กับ เส้นทางพัฒนามนุษย์ตลอดช่วงชีวิต แบบมีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ

เมื่อเหรียญทองไม่ได้การันตีอนาคต

เสียงนกหวีดสุดท้ายในสนามไม่ได้ปิดฉาก "อาชีพ" ของนักกีฬาเท่านั้น แต่อาจสั่นคลอน "อัตลักษณ์" และ "โครงสร้างหนุนเสริม" ที่ค้ำจุนชีวิทั้งระบบ สถิติจากสหรัฐอเมริกาเผยว่านักกีฬา NFL ถึง 78% ประสบปัญหาทางการเงินหรือล้มละลายภายในเพียง 2 ปีหลังเกษียณ(1) ในยุโรป การศึกษาครอบคลุม 28 ประเทศพบว่านักกีฬา 40-60% รายงานอาการซึมเศร้าในช่วงเปลี่ยนผ่าน(2) ขณะที่ออสเตรเลียชี้ให้เห็นว่านักกีฬาเกษียณมีอัตราการว่างงานสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 2.3 เท่าในปีแรก(3)

สำหรับประเทศไทย แม้จะขาดฐานข้อมูลระดับชาติที่เป็นระบบ แต่การสัมภาษณ์เชิงคุณภาพนักกีฬาทีมชาติไทยที่เกษียณระหว่าง พ.ศ. 2560-2565 จำนวน 45 คน พบภาพที่น่าเป็นห่วง ถึง 67% ไม่มีแผนอาชีพที่ชัดเจนก่อนเกษียณ 52% มีรายได้ลดลงเกิน 70% ในปีแรก และ 41% รายงานภาวะเครียดหรือสุขภาวะจิตใจไม่ดี สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือมีเพียง 23% เท่านั้นที่ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมกีฬาหลังเกษียณ ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าการออกแบบโปรแกรมพัฒนานักกีฬาหลังเกษียณ จึงต้องไปไกลกว่าคอร์สอบรมรายหัว แต่ต้องเชื่อมโยงระหว่างนโยบายชาติกับเส้นทางพัฒนามนุษย์ตลอดช่วงชีวิตแบบมีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ

สองกรอบทฤษฎีที่ควรเดินคู่กัน

ในระดับนโยบาย กรอบ SPLISS (Sports Policy factors Leading to International Sporting Success) ที่พัฒนาโดย De Bosscher และคณะ แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จกีฬาของประเทศพึ่งพา "เสา" นโยบาย 9 ด้าน ตั้งแต่การเงิน การกำกับนโยบาย ระบบพัฒนาฐานและเยาวชน การคัดเลือกและพัฒนาทาเลนต์ การสนับสนุนนักกีฬารวมถึงอาชีพคู่ขนานและหลังเกษียณ สิ่งอำนวยความสะดวก โค้ช ระบบการแข่งขัน ไปจนถึงวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมกีฬา(4,5) ขณะเดียวกันในระดับบุคคล LTAD (Long-Term Athlete Development) ที่พัฒนาโดยระบบกีฬาแคนาดา ชี้ให้เห็น "ช่วงวัยการฝึกที่ไวต่อการพัฒนา" และลำดับขั้นจากเด็กสู่ความเป็นเลิศไปจนถึง Active for Life หลังเลิกแข่งขัน(6,7)

เมื่อรวมสองกรอบนี้เข้าด้วยกัน เราได้สมการเชิงนโยบายและมนุษย์ที่สมบูรณ์ ประเทศต้องยก "เสา" ที่รองรับเส้นทางชีวิตนักกีฬาไปจนพ้นวัยแข่งขัน มิใช่หยุดที่เหรียญรางวัล การบูรณาการนี้จำเป็นอย่างยิ่งเพราะปัญหาที่พบในทางปฏิบัติคือนโยบายระดับประเทศมักมุ่งเน้นที่การผลิตเหรียญรางวัลและมองข้ามระยะท้ายของการพัฒนานักกีฬา ในขณะที่โปรแกรมพัฒนานักกีฬารายบุคคลไม่มี "โครงสร้างองค์กร" มาหนุนเสริม การเชื่อมโยงระหว่าง SPLISS กับ LTAD จึงเป็นนวัตกรรมที่จำเป็นและยังไม่มีใครทำอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในบริบทประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย

วิกฤตอัตลักษณ์: เมื่อ "นักกีฬา" คือทั้งหมดของชีวิต

งานวิจัยคลาสสิกด้านการเปลี่ยนผ่านอาชีพอธิบายว่าการเลิกเล่นกีฬาคือ "ช่วงเปลี่ยนผ่าน" ที่บีบให้บุคคลต้องสร้างตัวตนใหม่ท่ามกลางแรงกดดัน ทรัพยากร และอุปสรรคต่างๆ(8,9) Wylleman และ Lavallee ได้พัฒนาแบบจำลองพัฒนาการหลายมิติที่แสดงให้เห็นว่านักกีฬาต้องผ่านการเปลี่ยนผ่านพร้อมกันหลายด้าน ทั้งด้านกีฬา จิตวิทยา จิตสังคม วิชาการ และอาชีพ(10) การทบทวนอย่างเป็นระบบระบุปัจจัยเสี่ยงและปกป้องต่อความเครียดและภาวะซึมเศร้า รวมถึงบทบาทการสนับสนุนที่เหมาะสม(11)

สิ่งที่น่าสนใจคือการยึดติดอัตลักษณ์นักกีฬาสูงโดยขาดการเตรียม "บทบาทที่สอง" เชื่อมโยงโดยตรงกับปัญหาการปรับตัวหลังเกษียณ(12) งานวิจัยใช้เครื่องมือ Athletic Identity Measurement Scale พบว่านักกีฬาที่มีคะแนนอัตลักษณ์สูงแต่ไม่มีแผนอาชีพสำรองมีแนวโน้มประสบปัญหาสุขภาวะจิตใจมากกว่านักกีฬาที่เตรียมตัวล่วงหน้า นี่คือเหตุผลที่ "เสาที่ 5" ของ SPLISS คือการสนับสนุนนักกีฬาและหลังอาชีพ ต้องลงมืออย่างเป็นระบบตั้งแต่ก่อนถึงเส้นชัยชีวิตกีฬา ไม่ใช่รอจนถึงวันสุดท้ายจึงเริ่มคิด

กำแพงการเงิน: หายนะที่มองไม่เห็น

ข้อมูลเชิงนโยบายและการเงินตอกย้ำความเสี่ยงหลังเกษียณอย่างชัดเจน นักกีฬาบางกลุ่มเผชิญการล้มละลายภายในไม่กี่ปีหลังเลิกเล่น แม้จะเคยมีรายได้สูงลิ่วในช่วงแข่งขัน(13) สาเหตุหลักมาจากการขาดความรู้เท่าทันทางการเงิน การบริหารจัดการเงินที่ไม่เหมาะสม และการมีรายได้ไม่แน่นอนในช่วงสั้นๆ งานวิจัยเชิงคุณภาพข้ามประเทศพบว่าการรู้เท่าทันการเงินและทักษะกำกับตนเองคือปัจจัยกุญแจ ซึ่งต้องมี "โครงสร้างองค์กร" รองรับ มิใช่ภาระของตัวนักกีฬาเพียงลำพัง(14)

ปัญหานี้รุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาว่านักกีฬาส่วนใหญ่เริ่มอาชีพตั้งแต่วัยรุ่นและอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการฝึกซ้อม พวกเขามักพลาดโอกาสในการสร้างทักษะชีวิต ประสบการณ์ทำงาน และเครือข่ายทางสังคมที่คนทั่วไปได้รับในช่วงอายุเดียวกัน เมื่อเลิกเล่นกีฬาในวัย 30 ต้น พวกเขาจึงเผชิญกับตลาดแรงงานที่ตนไม่คุ้นเคย ไม่มีประวัติการทำงาน และแข่งขันกับคนที่มีประสบการณ์หลายปี ในกรอบ SPLISS จึงควรยกระดับ pillar 5 การสนับสนุนอาชีพและหลังอาชีพ และ pillar 9 วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม เพื่อพัฒนาหลักสูตรการเงินเชิงหลักฐานและติดตามผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของผู้เกษียณจริง

บูรณาการ SPLISS × LTAD: เส้นทางชีวิตที่โยงกับเสานโยบาย

LTAD บอกเราว่าการสร้างสมรรถนะระยะยาวต้อง "จัดการช่วงวัย" อย่างเหมาะสมตั้งแต่ต้นน้ำจนถึง Active for Life ระยะหลังเกษียณจากการเล่นกีฬา (6,7) แต่ในทางปฏิบัติ ระบบกีฬาส่วนใหญ่มุ่งความสนใจไปที่ระยะกลาง Training to Win เพื่อผลิตเหรียญรางวัล และมองข้ามระยะสุดท้ายอย่างสิ้นเชิง การบูรณาการกับ SPLISS จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร

เริ่มต้นที่ Pillars 3-4 คือโครงสร้างฐานและการคัดเลือกพัฒนาทาเลนต์ เราต้องวางระบบการศึกษาควบคู่กีฬาหรือที่เรียกว่า dual career ตั้งแต่ระดับเยาวชน ปลูกฝังทักษะอาชีพที่โอนย้ายได้ตลอดลู่วิ่ง LTAD เช่น ภาวะผู้นำ การจัดการเวลา การทำงานเป็นทีม และการรับมือกับแรงกดดัน ทักษะเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้นักกีฬาประสบความสำเร็จในสนาม แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับอาชีพใดก็ตามในอนาคต

สำหรับ Pillar 5 การสนับสนุนนักกีฬาและหลังอาชีพ เราต้องสร้างเส้นทางสู่บทบาทใหม่อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโค้ช นักวิทยาศาสตร์การกีฬา ผู้ประกอบการ นักวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้แต่อาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกับกีฬาโดยตรง ควบคู่ไปกับบริการสุขภาวะจิตใจตามแบบจำลองการเปลี่ยนผ่านของ Stambulova ที่เน้นการจัดการความต้องการ ทรัพยากร และอุปสรรคในแต่ละระยะ(8,9) การศึกษาล่าสุดจาก IOC ยังเน้นย้ำความสำคัญของการยกระดับเครื่องมือสุขภาพจิตและบริการต่อเนื่องหลังมหกรรมกีฬาสำหรับนักกีฬา(15)

Pillars 6-7 คือสิ่งอำนวยความสะดวกและการพัฒนาโค้ช สามารถใช้ศูนย์ฝึกเป็น "ฮับทักษะอาชีพ" โดยจัดกิจกรรมเสริมอย่างเช่น workshop การเงิน การจัดทำ CV และการสัมภาษณ์งาน นอกจากนี้ยังต้องยกระดับบทบาทโค้ชให้เป็น career mentor ที่ไม่เพียงสอนทักษะกีฬา แต่ยังช่วยเหลือนักกีฬาในการวางแผนอนาคต สนับสนุนการศึกษาต่อ และเชื่อมโยงกับโอกาสทางอาชีพ โค้ชที่ได้รับการอบรมด้านนี้สามารถเป็นบุคคลสำคัญในการช่วยให้นักกีฬาเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตหลังเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ

สุดท้าย Pillars 8-9 คือการแข่งขันและวิทยาศาสตร์หรือนวัตกรรม ควรตั้ง data registry เพื่อติดตามผลลัพธ์หลังเกษียณอย่างเป็นระบบ ทั้งการจ้างงาน สุขภาวะจิตใจ และเสถียรภาพทางการเงิน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังควรพัฒนาคอนเทนต์เรียนรู้ออนไลน์แบบ personalized ที่นักกีฬาสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สิ่งเหล่านี้สอดรับกับพัฒนาการมิติต่างๆ ทั้งการศึกษา อาชีพ สังคม และจิตใจ ตามกรอบพัฒนาการของ Wylleman และ Lavallee(10)

จากหลักฐานสู่การปฏิบัติ: โมดูลที่ควรมี

การนำทฤษฎีมาสู่การปฏิบัติต้องอาศัยโมดูลโปรแกรมที่ชัดเจนและวัดผลได้ โมดูลแรกคือจิตวิทยาการเปลี่ยนผ่าน ควรจัดคลินิกหรือกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนที่อ้างอิงแบบจำลอง transition-demands-resources-barriers ของ Stambulova(8) โดยเริ่มตั้งแต่ 2 ปีก่อนเกษียณด้วยการทำ identity mapping workshop เพื่อช่วยให้นักกีฬาเข้าใจว่าตนเองคือใครนอกเหนือจาก "นักกีฬา" ตามด้วยการคัดกรองสุขภาพจิต การตั้งเป้าหมายนอกสนาม และการฝึกทักษะการรับมือกับความเครียด เมื่อเกษียณแล้วก็ต้องมีบริการ crisis intervention แบบ 24/7 การติดตามผลรายสัปดาห์ และโปรแกรม alumni mentoring ที่นักกีฬารุ่นพี่ที่ผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านมาแล้วคอยให้คำแนะนำ

โมดูลที่สองคือการเงินและอาชีพ ควรมีหลักสูตร financial literacy เชิงสถานการณ์ที่คำนึงถึงความเป็นจริงของนักกีฬา เช่น รายได้ผันผวน สัญญาสูงระยะสั้น การจัดการภาษีและการลงทุน การอ่านสัญญาและเจรจากับสปอนเซอร์ การคำนวณว่าต้องมีเงินเท่าไหร่จึงเกษียณได้อย่างสบายใจ และการจัดการเงินก้อนจากรางวัลหรือสปอนเซอร์อย่างชาญฉลาด นอกจากนี้ยังต้องมีส่วน career exploration ที่ช่วยให้นักกีฬาประเมิน transferable skills ของตนเอง สำรวจตลาดงานที่เหมาะสม สร้าง CV และโปรไฟล์ LinkedIn ที่น่าสนใจ และเรียนรู้เทคนิคการสัมภาษณ์งานและ personal branding โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินและทนายความที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนักกีฬาคอยให้คำปรึกษา(14)

โมดูลที่สามคือการยกระดับทักษะหรือ reskilling และ upskilling เพื่อสร้าง pathway จาก LTAD สู่การทำงานจริง ควรมีหลายเส้นทางให้เลือกตามความสนใจ เช่น เส้นทาง Sport Industry สำหรับผู้ที่อยากเป็นโค้ช นักวิเคราะห์ผลงาน หรือผู้จัดการกีฬา เส้นทาง Health & Wellness สำหรับผู้ที่สนใจเป็น personal trainer นักโภชนาการ หรือนักกายภาพบำบัด เส้นทาง Business & Entrepreneurship สำหรับผู้ที่อยากเปิดธุรกิจของตัวเอง หรือแม้แต่เส้นทาง Tech & Data สำหรับผู้ที่สนใจเทคโนโลยีและการวิเคราะห์ข้อมูลกีฬา แต่ละเส้นทางควรมีหลักสูตรพื้นฐาน การฝึกงานจริง และการสนับสนุนหางานหลังจบ โดยทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย วิทยาลัยอาชีวะ สมาคมโค้ช และบริษัทเอกชนที่พร้อมรับนักกีฬาเข้าฝึกงานและจ้างงาน

โมดูลสุดท้ายแต่สำคัญที่สุดคือโครงสร้างองค์กรและการประเมินผล ต้องจัดตั้ง Athlete Transition Unit ภายใต้ กกท. หรือองค์กรกีฬาหลักของประเทศ ประกอบด้วยทีมสหวิชาชีพที่มีนักจิตวิทยาการกีฬา ที่ปรึกษาทางการเงิน career counselor และนักวิชาการ พร้อมระบบฐานข้อมูลแบบ longitudinal ที่ติดตามนักกีฬาตั้งแต่เข้าระบบจนถึง 5 ปีหลังเกษียณ เก็บข้อมูลทั้งการศึกษา อาชีพ รายได้ สุขภาวะจิตใจ และการใช้บริการ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราประเมินผลโปรแกรมได้อย่างเป็นรูปธรรมผ่าน KPI ต่างๆ เช่น อัตราการจ้างงานภายใน 12 เดือน คะแนนสุขภาวะจิตใจ เสถียรภาพทางการเงิน และความพึงพอใจต่อโปรแกรม การมีระบบติดตามและประเมินผลที่ดีจะช่วยให้เราปรับปรุงโปรแกรมอย่างต่อเนื่องด้วย evidence-based approach

บทเรียนจากต่างประเทศและโอกาสของไทย

ในทางปฏิบัติ เราเห็นองค์กรระหว่างประเทศยกระดับโครงการ Olympic Athlete Career Programme ภายใต้ IOC เพื่อเปิดทาง "การศึกษาควบคู่อาชีพ" และบริการเตรียมความพร้อมสู่ชีวิตหลังกีฬาในกว่า 200 คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติทั่วโลก(16) Australian Institute of Sport มีระบบ holistic athlete support ที่ผสมผสาน personal development planning mental health screening และ career transition workshops เชิงบังคับในปีสุดท้าย พร้อมติดตามผลถึง 3 ปีหลังเกษียณ ส่วน UK Sport บูรณาการ Performance Pathway เข้ากับ Dual Career Charter ที่มีข้อตกลงร่วมกับมหาวิทยาลัยกว่า 40 แห่งให้ความยืดหยุ่นทางการศึกษาและมี funding ต่อเนื่อง 12 เดือนหลังเกษียณสำหรับการอบรมทักษะใหม่

สำหรับไทย การวางนโยบายที่ "วาดเส้นชีวิต" ตั้งแต่ลู่วิ่ง LTAD จนถึง Active for Life แล้วจับยึดกับเสา SPLISS โดยเฉพาะ pillar 5 และ 9 จะทำให้โครงการหลังเกษียณไม่ใช่กิจกรรมปลายทาง แต่เป็น "ระบบนิเวศ" ที่เดินคู่กับชีวิตนักกีฬาตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่เส้นทาง เราควรเริ่มต้นด้วยโครงการนำร่องใน 3-5 สหพันธ์กีฬาที่มีความพร้อม รวบรวมข้อมูลและหาแนวปฏิบัติที่ดี จากนั้นจึงค่อยขยายผลไปยังสหพันธ์อื่นๆ อย่างเป็นระบบ การมีฐานข้อมูลระดับชาติที่ติดตามผลระยะยาวจะช่วยให้เราเรียนรู้จากประสบการณ์จริงและปรับปรุงโปรแกรมให้เหมาะสมกับบริบทไทยมากขึ้น

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีจุดแข็งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น วัฒนธรรมความกตัญญูและการเคารพรุ่นพี่ที่เอื้อต่อระบบ mentorship การมีโครงสร้างองค์กรกลางที่แข็งแกร่งคือ กกท. ที่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้ และโอกาสในการจัดมหกรรมกีฬาระดับภูมิภาคที่สามารถใช้เป็นโมเมนตัมในการยกระดับโครงสร้างและระบบสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ โดยเฉพาะวัฒนธรรม "ชนะให้ได้" ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ระยะสั้น งบประมาณที่จำกัด และการประสานงานข้ามหน่วยงานที่ยังไม่เข้มแข็งพอ การแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยทั้งเจตจำนงทางการเมือง ความมุ่งมั่นของผู้บริหาร และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนตั้งแต่รัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และตัวนักกีฬาเอง

จากทฤษฎีสู่การเปลี่ยนแปลง: เส้นทางข้างหน้า

หลักฐานเชิงทฤษฎีและปฏิบัติชี้ชัดว่าผลลัพธ์หลังเกษียณที่ดีไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจส่วนบุคคลเท่านั้น แต่เกิดจากการบูรณาการนโยบายระดับชาติเข้ากับเส้นทางพัฒนาการตามช่วงวัยอย่างเป็นระบบ มีการติดตามผล และยกระดับทรัพยากรสนับสนุนตั้งแต่ "ก่อน" ถึง "หลัง" การเลิกเล่นกีฬา  การลงทุนในโปรแกรมพัฒนานักกีฬาหลังเกษียณไม่ใช่ค่าใช้จ่ายหรือเป็นภาระให้กับภาครัฐ แต่เป็นการลงทุนในทุนมนุษย์กีฬาที่จะตอบแทนกลับมาด้วยสุขภาวะ สังคม และเศรษฐกิจในระยะยาว

การสร้างโปรแกรมที่ดีต้องเริ่มจากการยอมรับว่านักกีฬาไม่ใช่แค่เครื่องมือผลิตเหรียญรางวัล แต่เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตยาวไกลกว่าอาชีพกีฬาหลายเท่า การดูแลพวกเขาอย่างองค์รวมตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงหลังเกษียณไม่เพียงเป็นเรื่องของความรับผิดชอบทางจริยธรรม แต่ยังเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในการสร้างวัฒนธรรมกีฬาที่ยั่งยืน เมื่อนักกีฬารุ่นใหม่เห็นว่ารุ่นพี่ได้รับการดูแลอย่างดีและมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จหลังเกษียญ พวกเขาจะมั่นใจมากขึ้นในการเลือกเส้นทางกีฬาเป็นอาชีพ นอกจากนี้ นักกีฬาเกษียณที่มีทักษะและประสบการณ์ยังสามารถกลับมาสร้างคุณค่าให้กับวงการกีฬาในบทบาทใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโค้ช ผู้บริหาร นักวิชาการ หรือ role model ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน

ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของโปรแกรมพัฒนานักกีฬาหลังเกษียณ ไม่ได้วัดกันที่จำนวนเหรียญทองที่ประเทศได้ แต่วัดกันที่จำนวนชีวิตของนักกีฬาที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ที่นักกีฬาสามารถก้าวออกจากสนามด้วยศักดิ์ศรี มั่นใจ และพร้อมสำหรับบทใหม่ของชีวิต นี่คือมาตรฐานที่แท้จริงของระบบกีฬาที่เป็นเลิศ ที่ไม่เพียงสร้างแชมป์ แต่ยังสร้างมนุษย์ที่สมบูรณ์

เอกสารอ้างอิง

1. Carlisle D. Bankruptcy rates among professional athletes (research summary). Washington DC: GFLEC; 2015.

2. Park S, Lavallee D, Tod D. Athletes' career transition out of sport: A systematic review. Int Rev Sport Exerc Psychol. 2013;6(1):22-53.

3. Australian Institute of Sport. Athlete Wellbeing and Engagement Annual Report. Canberra: AIS; 2019.

4. De Bosscher V, De Knop P, van Bottenburg M, Shibli S. Explaining international sporting success. Sport Management Review. 2009;12(3):113-135.

5. De Bosscher V, Shibli S, Westerbeek H, van Bottenburg M. Successful Elite Sport Policies: An International Comparison of the SPLISS 2.0 model. Leuven: Meyer & Meyer Sport; 2015.

6. Balyi I, Hamilton A. Long-Term Athlete Development: Trainability in Childhood and Adolescence. Victoria, BC: National Coaching Institute; 2004.

7. Sport for Life Society. Long-Term Athlete Development 2.1. Ottawa: Sport for Life; 2019.

8. Stambulova NB. Career development and transitions of athletes: The ISSP position stand (ICCT framework). Int J Sport Exerc Psychol. 2021;19(4):524-550.

9. Stambulova NB, Alfermann D, Statler T, Côté J. ISSP position stand: Career development and transitions of athletes. Int J Sport Exerc Psychol. 2009;7(4):395-412.

10. Wylleman P, Alfermann D, Lavallee D. Career transitions in sport: European perspectives. Psychology of Sport and Exercise. 2004;5(1):7-20.

11. Gouttebarge V, Castaldelli-Maia JM, Gorczynski P, Hainline B, Hitchcock ME, Kerkhoffs GM, et al. Occurrence of mental health symptoms and disorders in current and former elite athletes: a systematic review and meta-analysis. Br J Sports Med. 2019;53(11):700-706.

12. Lochbaum M, Zanatta T, Kirschling D, May E. The Athletic Identity Measurement Scale: A Systematic Review. Front Psychol. 2022;13:948232.

13. Torre PS. How (and why) athletes go broke. Sports Illustrated. 2009 Mar 23.

14. Hong HJ, Lee K, Karadzhov D. "My Sport Won't Pay the Bills Forever": High-Performance Athletes' Financial Literacy and Self-Management. J Risk Financial Manag. 2021;14(7):324.

15. The Guardian. Mental health kits and AI to help Olympians with pressure and abuse. 7 May 2024.

16. International Olympic Committee. Olympic Athletes' Career Programme – Forum Report. Lausanne: IOC; 2020.



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

การใช้ค่า P-value ผิดวิธีในงานวิจัย (ฉบับชีวกลศาสตร์การกีฬา)

การลดน้ำหนักสำหรับ ONE Championship: แนวทางที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ