แยกทางอิชิอิ: ปัญหาเชิงโครงสร้างของฟุตบอลไทยที่ใครไม่เข้าใจ ?



มาซาทาดะ อิชิอิ รู้ตั้งแต่วันแรกที่เขาเซ็นสัญญา เขารู้ว่าเก้าอี้ที่เขานั่งนั้นร้อนระอุ ในการสร้างระบบให้กับทีมชาติไทย รู้ว่าทุกคนก่อนหน้าเขาถูกเผาจนไหม้เกรียม และรู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะทำได้ดีแค่ไหน เขาก็จะถูกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยปลดออกเหมือนกัน เพราะนี่ไม่ใช่ปัญหาของโค้ช แต่เป็นปัญหาของระบบที่เน่าเฟะตั้งแต่ฐานราก วันนี้ เมื่ออิชิอิกำลังยืนอยู่บนหน้าผา เราไม่ควรถามว่าอิชิอิทำได้ดีพอหรือไม่ แต่เราควรถามว่าทำไมระบบฟุตบอลไทยถึงฆ่าโค้ชทุกคนที่เข้ามา นี่ไม่ใช่บทวิเคราะห์ผลงานอิชิอิ นี่คือการชันสูตรพลิกศพของระบบการจัดการฟุตบอลไทยที่ใครก็รู้ว่ามันตาย แต่ไม่มีใครอยากยอมรับ การยอมรับในสิ่งที่ผิดนี่มันแย่ยิ่งนัก

ลองนึกภาพองค์กรหนึ่งที่จ้างผู้บริหารระดับสูงด้วยสัญญาเพียงหนึ่งถึงสองปี กำหนด KPI ที่ต้องชนะทันทีในทุกทัวร์นาเมนต์ เปลี่ยนกลยุทธ์องค์กรทุกสิบแปดเดือน ไม่มีแผนพัฒนาบุคลากรระยะยาว และปล่อยให้สื่อมวลชนกับผู้มีอิทธิพลภายนอกแทรกแซงการตัดสินใจ ในโลกธุรกิจ องค์กรแบบนี้ล้มละลายไปแล้ว แต่นี่คือวิธีที่สมาคมฯ บริหารทีมชาติไทยมาตลอดสิบปี เกียรติศักดิ์ "ซิโก้" เสนาเมือง วีรบุรุษของชาติ ทำงานได้สามปีก่อนต้องลาออกภายใต้แรงกดดัน มิโลวาน ราเยวัช ถูกไล่ออกกลางทัวร์นาเมนต์เอเชียนคัพ อากิระ นิชิโนะ ถูกยกเลิกสัญญาหลังเพียงสองปี และมาโน่ โพลกิ้ง แม้จะคว้าแชมป์อาเซียนสองสมัยติดต่อกัน ก็ยังต้องจากไป ข้อสังเกตที่น่าสะพรึงกลัวคือไม่มีโค้ชคนไหนได้ทำงานครบหนึ่งวงรอบฟุตบอลโลกเลย ทุกคนถูกเปลี่ยนก่อนจะมีเวลาสร้างอะไรที่ยั่งยืนได้

ปัญหาที่แท้จริงของสมาคมฯ คือการขาดวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์อย่างสิ้นเชิง สมาคมฯ ไม่เคยกำหนดปรัชญาฟุตบอลแห่งชาติที่ชัดเจน ไม่เคยตอบคำถามว่าทีมชาติไทยควรเล่นแบบไหน ต้องการนักเตะแบบไหนในสิบปีข้างหน้า หรืออัตลักษณ์ของฟุตบอลไทยคืออะไร Thailand Football Identities ผลลัพธ์ที่ได้คือทุกครั้งที่เปลี่ยนโค้ช ทีมชาติต้องรีสตาร์ทระบบใหม่หมด ราเยวัชเน้นเกมรับ โพลกิ้งเน้นเกมบุก อิชิอิเน้นวินัยแทคติก นักเตะต้องเรียนรู้ระบบใหม่ทุกสิบแปดเดือน นี่คือความสิ้นเปลืองทางการจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพสูงสุด มันเหมือนกับการสร้างบ้านแล้วรื้อทิ้งก่อนจะเสร็จ แล้วเริ่มสร้างใหม่ด้วยแบบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

การตัดสินใจของสมาคมฯ ไม่เคยเป็นแบบเชิงกลยุทธ์ แต่เป็นแบบหัวชนฝา เป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันเท่านั้น สื่อวิพากษ์ก็ไล่โค้ชออก แฟนบอลโกรธก็หาโค้ชใหม่มาปิดปาก แพ้เกมใหญ่ก็ประชุมแล้วก็แยกทาง ในขณะที่องค์กรที่ดีอย่าง Apple ไม่ไล่ออก Tim Cook เพราะ iPhone รุ่นใดรุ่นหนึ่งขายไม่ดี หรือ Bayern Munich ที่ให้เวลา Pep Guardiola สามปีแม้ไม่ชนะแชมป์ยุโรป แต่สมาคมฯ กลับกดปุ่มตื่นตระหนกทุกครั้งที่มีปัญหา การเปลี่ยน CEO กลางปีหรือกลางโครงการในโลกการจัดการองค์กรถือเป็นระเบิดนิวเคลียร์ "Nuclear Option" ที่ใช้เฉพาะเมื่อไม่มีทางเลือก แต่สมาคมฯ กลับใช้มันเหมือนเป็นเรื่องปกติ

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีกคือการไม่มีระบบการพัฒนาบุคลากรที่เป็นรูปธรรม ทีมชุดเยาวชนเปลี่ยนโค้ชบ่อยเท่ากับทีมชุดใหญ่ ลีกในประเทศไม่มีมาตรฐาน ไม่มีการบังคับใช้ระบบเยาวชนอย่างจริงจัง จนทีมชุดใหญ่ได้นักเตะที่ไม่เข้าใจแทคติกขั้นพื้นฐาน อิชิอิเองก็บ่นกับสื่อญี่ปุ่นว่านักเตะไทยขาดความเข้าใจกลยุทธ์ระดับบุคคลและกลุ่ม โดยเฉพาะการรับหนึ่งต่อหนึ่ง นี่ไม่ใช่ความผิดของอิชิอิ นี่คือความผิดของระบบที่ผลิตนักเตะออกมา โค้ชไม่สามารถสร้างนักเตะระดับโลกจากนักเตะระดับท้องถิ่นได้ในสองปี แต่ทุกคนกลับคาดหวังให้เขาทำได้

กรณีของมาโน่ โพลกิ้งเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของการเคลื่อนเป้าหมายตลอดเวลา โพลกิ้งคว้าแชมป์ AFF Cup สองสมัยติดต่อกัน สร้างความสำเร็จระดับภูมิภาคอย่างชัดเจน แต่เมื่อฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเริ่มไม่ดี เขาก็ถูกปลดทันที สมาคมฯ เปลี่ยนเกณฑ์ความสำเร็จโดยไม่บอกใคร เมื่อก่อนแชมป์อาเซียนคือความสำเร็จ แต่ตอนนี้แชมป์อาเซียนไม่เพียงพออีกต่อไป ต้องไปฟุตบอลโลกด้วย ปัญหาคือไม่มีใครรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคืออะไร เพราะมันเปลี่ยนตลอดเวลาตามอารมณ์และแรงกดดัน เหมือนกับการเล่นเกมที่กติกาเปลี่ยนไปทุกรอบ โค้ชจะวางแผนได้อย่างไร

อากิระ นิชิโนะ กรณีศึกษาของความล้มเหลวที่มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่สมาคมฯ ไม่เคยเรียนรู้ นิชิโนะได้ค่าจ้างมหาศาล มีเป้าหมายชัดเจนคือพาทีมไปฟุตบอลโลก 2022 แต่เมื่อตกรอบคัดเลือกรอบที่สองก็ถูกยกเลิกสัญญา ปัญหาที่ซ่อนอยู่คือนิชิโนะไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ บินกลับญี่ปุ่นบ่อยครั้ง สื่อสารกับนักเตะไม่ได้ แต่คำถามที่สำคัญกว่าคือทำไมสมาคมฯ จึงจ้างโค้ชที่ไม่ทุ่มเท ทำไมไม่มีการตรวจสอบความมุ่งมั่นก่อนเซ็นสัญญา ใครรับผิดชอบการตัดสินใจนี้ คำตอบคือไม่มีใครรับผิดชอบ เพราะระบบธรรมาภิบาลไม่มีตัวตน การตัดสินใจสำคัญกลายเป็นเรื่องของการเมืองและอิทธิพล ไม่ใช่ความเป็นมืออาชีพ

มิโลวาน ราเยวัช คือตัวอย่างสุดขั้วของการจัดการแบบตื่นตระหนก ราเยวัชถูกปลดกลางทัวร์นาเมนต์เอเชียนคัพ 2019 หลังแพ้อินเดียหนึ่งต่อสี่ การตัดสินใจแบบฉุกเฉินนี้ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่กลับทำให้ทีมสับสนและเสียสมาธิมากยิ่งขึ้น ในโลกการจัดการองค์กร การไล่ผู้นำออกกลางโครงการถือเป็นการยอมรับว่าระบบล้มเหลวตั้งแต่ต้น แต่สมาคมฯ กลับทำเหมือนมันเป็นทางออกที่ดีที่สุด นี่คือ "Panic Button Management" การกดปุ่มแดงทุกครั้งที่เกิดปัญหา โดยไม่เคยถามว่าทำไมปัญหาเหล่านี้ถึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แล้ววันนี้เรามาถึงตัว มาซาทาดะ อิชิอิ โค้ชที่กำลังติดกับดักเดียวกันกับคนก่อนหน้าทั้งหมด เมื่อมองผลงานของอิชิอิอย่างเป็นธรรม เขาทำสิ่งที่น่าทึ่งภายใต้ข้อจำกัดที่มี ในเอเชียนคัพ 2023 รอบแบ่งกลุ่ม ทีมชาติไทยไม่เสียประตูเลยในสามนัด ชนะคีร์กีซสถาน เสมอโอมาน และเสมอซาอุดีอาระเบีย นี่คือผลงานระดับโลก ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ทีมไทยบุกไปเสมอเกาหลีใต้หนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม แม้จะกลับมาแพ้ที่บ้านสามประตูรูดในนัดต่อมา แต่นั่นแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างด้านคุณภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ความผิดพลาดทางแทคติก

จากมุมมองการจัดการกีฬา อิชิอิทำทุกอย่างที่โค้ชที่ดีควรทำ เขาสร้างระบบที่ทำงานได้จริง ปลูกฝังวินัยทางแทคติก ทำให้ทีมแพ้ยากขึ้น ทีมชาติไทยภายใต้อิชิอิมีการจัดระเบียบที่ดีกว่าทุกยุค มีเกมรับที่แข็งแกร่ง มีวินัยในการเล่น แต่แล้วก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเกมรุกขาดความคิดสร้างสรรค์ ทีมทำประตูยาก ขาดความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้าย คำถามคือนี่เป็นความผิดของอิชิอิหรือเปล่า คำตอบคือไม่ นี่ไม่ใช่ปัญหาแทคติก นี่คือปัญหา Talent Pool ปัญหาที่ซ่อนอยู่ลึกกว่าความสามารถของโค้ชคนใดคนหนึ่ง

นี่คือความย้อนแย้งของอิชิอิ เขาทำทุกอย่างถูกต้อง แต่เขาไม่สามารถเอาชนะข้อจำกัดของระบบได้ ทีมชาติไทยไม่มีกองหน้าคุณภาพ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา บาดเจ็บ ไม่มีตัวเลือกอื่นที่เชื่อถือได้ นักเตะส่วนใหญ่ขาดพื้นฐานแทคติก อิชิอิต้องสอนตั้งแต่ต้น แต่เวลาที่เขามีคือเพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อแคมป์ สมาคมฯ คาดหวังให้ชนะทันทีทุกเกม ถ้าไม่ชนะก็จะถูกไล่ออก โค้ชคนไหนในโลกจะทำสำเร็จได้ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ คำตอบคือไม่มี นักเตะไทยกี่คนเล่นในลีกท็อปของเอเชีย ไม่เกินห้าคน มีกี่คนที่มีมูลค่าตลาดเกินหนึ่งล้านยูโร ไม่ถึงสิบคน กองหน้าไทยกี่คนทำประตูในลีกชั้นนำได้สม่ำเสมอ เกือบไม่มี

อิชิอิไม่ใช่นักมายากล เขาไม่สามารถสร้างนักเตะระดับโลกจากนักเตะระดับท้องถิ่นได้ในสองปี ความสำเร็จในการจัดระเบียบเกมรับของเขากลายเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างด้านคุณภาพของผู้เล่นและปัญหาการพัฒนาในระยะยาว ซึ่งเป็นปัญหาที่โค้ชเพียงคนเดียวไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาอาจดึงศักยภาพสูงสุดของนักเตะชุดปัจจุบันออกมาได้แล้ว แต่ศักยภาพสูงสุดนั้นอาจยังไม่เพียงพอต่อเป้าหมายที่แฟนบอลและสมาคมฯ ตั้งไว้ นี่คือความจริงที่โหดร้าย แต่เป็นความจริงที่ต้องเผชิญหน้า

เมื่อเปรียบเทียบกับชาติชั้นนำในเอเชีย ความแตกต่างชัดเจนเหมือนกลางวันกับกลางคืน ญี่ปุ่นให้ฮาจิเมะ โมริยาสุทำงานมาตั้งแต่ปี 2018 จนถึงปัจจุบัน เจ็ดปีเต็ม โมริยาสุพาทีมคว้าแชมป์เอเชียนคัพสองสมัย เข้ารอบสิบหกทีมฟุตบอลโลก 2022 แม้จะเคยเผชิญกับผลงานที่น่าผิดหวังในบางช่วง แต่สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นก็ไม่เคยคิดจะไล่เขาออก เพราะพวกเขาเข้าใจว่าการสร้างทีมต้องใช้เวลา ต้องมีความต่อเนื่อง ต้องมีปรัชญาที่ชัดเจนและยึดมั่น ญี่ปุ่นมีปรัชญาฟุตบอลแห่งชาติที่เน้นเทคนิค ครอบครอง ความเร็ว ทุกโค้ชที่เข้ามาต้องสานต่อปรัชญานี้ ไม่ใช่สร้างใหม่ทั้งหมด

เกาหลีใต้แม้จะเปลี่ยนโค้ชบ่อยกว่าญี่ปุ่น แต่แต่ละคนได้ทำงานครบหนึ่งวงรอบฟุตบอลโลก มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือผ่านรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก ไม่มีการเปลี่ยนโค้ชกลางทัวร์นาเมนต์ ไม่มีการกดปุ่มตื่นตระหนกทุกครั้งที่แพ้หนึ่งสองนัด ข้อมูลจากการศึกษาการจัดการกีฬาชี้ให้เห็นว่าทีมที่ให้โค้ชทำงานมากกว่าสามปีมีโอกาสสร้างความสำเร็จระยะยาวสูงกว่าหกสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ การเปลี่ยนโค้ชบ่อยทำให้ทีมสูญเสียความต่อเนื่องและต้องสร้างใหม่ตลอดเวลา เรารู้ข้อมูลนี้ เราเห็นตัวอย่างจากชาติที่ประสบความสำเร็จ แล้วทำไมเราไม่ทำตาม

คำตอบที่เจ็บปวดคือระบบไม่ต้องการความสำเร็จระยะยาว ระบบต้องการแก้ตัวระยะสั้น เมื่อผลงานไม่ดี การเปลี่ยนโค้ชช่วยให้ผู้บริหารมีข้ออ้างใหม่ ช่วยระบายความโกรธของแฟนบอล ช่วยสร้างข่าว ช่วยให้ดูเหมือนว่ามีคนทำอะไรสักอย่าง แต่มันไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริงเลย มันเหมือนกับการทาสีบ้านที่รากฐานกำลังพัง สีใหม่อาจดูสวยชั่วคราว แต่บ้านก็ยังคงพังต่อไป

สิ่งที่ฟุตบอลไทยต้องการคือการปฏิรูปที่แท้จริง ไม่ใช่การเปลี่ยนโค้ชอีกครั้ง สมาคมฯ ต้องกำหนดปรัชญาฟุตบอลแห่งชาติที่ชัดเจน กำหนดสไตล์การเล่นหลัก กำหนดลักษณะนักเตะที่ต้องการ วางแผนพัฒนาสิบปีจากทีมเยาวชนไปถึงทีมชุดใหญ่ ทุกโค้ชที่เข้ามาต้องสอดคล้องกับปรัชญานี้ ไม่ใช่เปลี่ยนระบบใหม่ทุกครั้ง สมาคมฯ ต้องเสนอสัญญาระยะยาวอย่างน้อยสี่ปี ครอบคลุมหนึ่งวงรอบฟุตบอลโลก ปกป้องโค้ชจากแรงกดดันที่ไม่สมเหตุสมผล ประเมินผลงานจากความก้าวหน้าในการพัฒนาทีมตามแผนระยะยาว ไม่ใช่แค่ผลการแข่งขันในนัดต่อไป

สมาคมฯ ต้องปฏิรูปโครงสร้างการพัฒนา บังคับใช้มาตรฐานทีมเยาวชนในทุกสโมสรไทยลีก สร้างสถาบันฟุตบอลระดับชาติที่มีมาตรฐานสากล ส่งนักเตะเยาวชนไปเล่นต่างประเทศอย่างเป็นระบบ แต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคที่มีอำนาจจริง สร้างคณะกรรมการตัดสินใจที่เป็นมืออาชีพ ไม่ใช่การเมือง มีระบบรับผิดชอบเมื่อการตัดสินใจผิดพลาด ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน สนามฝึกซ้อมมาตรฐานสากล ระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทีมงานสนับสนุนแบบครบวงจร

นี่คือสิ่งที่ควรทำ นี่คือทางออกที่แท้จริง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง เพราะการปฏิรูประบบใช้เวลาห้าถึงสิบปี ไม่มีผลลัพธ์ทันที ไม่มีใครอยากรับผิดชอบ ผู้บริหารสมาคมฯ ไม่อยู่นานพอที่จะเห็นผล ในขณะที่การเปลี่ยนโค้ชทำได้ในหนึ่งสัปดาห์ ได้พาดหัวข่าวทันที สื่อและแฟนบอลคลายความโกรธ ผู้บริหารมีข้ออ้างใหม่ มันง่ายกว่ามาก แม้จะไม่ได้แก้ปัญหาเลยก็ตาม

และนี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอิชิอิ เขาจะถูกปลดหรือลาออกเร็วๆ นี้ สมาคมฯ จะหาโค้ชใหม่มาแก้ปัญหา โค้ชคนใหม่จะเริ่มรีสตาร์ทระบบใหม่ วงจรจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นักเตะจะต้องเรียนรู้ระบบใหม่อีก แฟนบอลจะมีความหวังใหม่อีก แล้วก็จะผิดหวังอีก แล้วโค้ชคนใหม่ก็จะถูกไล่ออกอีก วงจรนี้จะไม่มีวันจบ จนกว่าจะมีคนกล้าพอที่จะยิงศพระบบเก่าทิ้งไป

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือเราทุกคนรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ เราเห็นมาแล้วกับซิโก้ กับราเยวัช กับนิชิโนะ กับโพลกิ้ง และตอนนี้กับอิชิอิ ทุกครั้งมันเหมือนกัน ทุกครั้งผลลัพธ์เหมือนกัน แต่ทุกครั้งเราก็ยังทำซ้ำ ยังหาแพะรับบาปจากโค้ช ยังคิดว่าโค้ชคนต่อไปจะเป็นผู้กอบกู้ ยังไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่โค้ช ปัญหาอยู่ที่เราเอง อยู่ที่ระบบ อยู่ที่วัฒนธรรมองค์กรที่ยอมรับความไร้เสถียรภาพเป็นเรื่องปกติ

นี่คือความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง มาซาทาดะ อิชิอิไม่ใช่ปัญหา อากิระ นิชิโนะไม่ใช่ปัญหา มาโน่ โพลกิ้งไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือระบบที่วัดความสำเร็จด้วยผลการแข่งขันเฉพาะหน้า ที่ไม่มีแผนพัฒนาระยะยาว ที่ให้สื่อและผู้มีอิทธิพลควบคุมการตัดสินใจ ที่ไม่มีใครรับผิดชอบเมื่อผิดพลาด และจนกว่าระบบนี้จะเปลี่ยน ไม่ว่าจะจ้างโค้ชดีแค่ไหนมา ผลลัพธ์ก็จะเหมือนเดิม เขาจะเข้ามาพร้อมความหวัง ทำงานหนัก พยายามสร้างอะไรบางอย่าง แล้วก็จะถูกไล่ออกก่อนที่จะมีเวลาเห็นผลงาน แล้วคนต่อไปก็จะเข้ามาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ถ้าวันหนึ่งเราเห็นข่าว "สมาคมฯ ยกเลิกสัญญาอิชิอิ" อย่าตกใจ นี่ไม่ใช่ข่าวใหม่ นี่คือซีรีส์ซ้ำที่ฉายมาสิบปี และจนกว่าจะมีใครกล้าพอที่จะทลายวงจรนี้ ฟุตบอลไทยก็จะยังคงวนเวียนอยู่ในความมืดไปอีกอย่างน้อยสิบปี โค้ชแต่ละคนจะเป็นเพียงตัวแทนที่ถูกเลือกมาเป็นแพะรับบาป เป็นคนรับผิดชอบต่อความล้มเหลวที่ฝังรากลึกกว่าการทำงานของเขาหลายสิบปี สมาคมฯ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโค้ช สมาคมฯ จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเอง แต่คำถามคือพวกเขากล้าหรือไม่ หรือจะเลือกวิธีที่ง่ายกว่า คือปิดตา ปิดหู แล้วเตะโค้ชคนต่อไปออกไปอีกครั้ง


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

จากวีรบุรุษสู่คนชายขอบของสังคมไทย: บทเรียนสังคมวิทยาการกีฬาจากอำนาจ รื่นเริง