จากวีรบุรุษสู่คนชายขอบของสังคมไทย: บทเรียนสังคมวิทยาการกีฬาจากอำนาจ รื่นเริง

คืนหนึ่งในเดือนตุลาคม 2568 บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งในชลบุรี ภาพที่ไม่มีใครอยากเห็นได้เกิดขึ้น ชายวัยกลางคนคนหนึ่งในอาการมึนเมาหนักกำลังทะเลาะวิวาทกับกลุ่มวัยรุ่น เสียงโวยวายดังกึกก้อง พนักงานร้านรีบปิดประตูเพื่อความปลอดภัย สถานการณ์บานปลายจนมีการผลักดัน แลกหมัด และท้ายที่สุดชายคนนั้นก็ถูกจับล็อกล้มลงกับพื้น คลิปวิดีโอเหตุการณ์นี้แพร่กระจายไวรัลในโลกออนไลน์ภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนสะดุ้งตกใจไม่ใช่เพียงความรุนแรงในคลิป หากแต่เป็นตัวตนของชายคนนั้น อำนาจ รื่นเริง อดีตแชมป์โลก IBF รุ่นฟลายเวต เจ้าของเหรียญทองแดงเวิลด์แชมเปียนชิพ เหรียญทองแดงเอเชียนเกมส์ และเหรียญทองซีเกมส์ ฮีโร่ของคนไทยที่เคยยืนบนโพเดียมรับเหรียญด้วยความภาคภูมิใจ ตอนนี้กลับกลายเป็นหัวข้อข่าวในทางลบ

เรื่องราวของอำนาจ รื่นเริง ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความล้มเหลว ตรงกันข้าม มันเริ่มต้นด้วยเรื่องราวแห่งการขายวิญญาณ ชายหนุ่มจากชลบุรีที่เคยเป็นนักชกมวยไทยในนาม "เพชร ต.บางแสน" ต้องพลาดพลั้งเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีวิ่งราว และติดคุกถึง 18 เดือน แต่แทนที่จะจมอยู่กับความผิดพลาด เขากลับลุกขึ้นมาสู้ในการชกมวยสากลสมัครเล่นในกีฬาราชทัณฑ์จนคว้าเหรียญทองสองปีซ้อน ผลงานนี้ทำให้เขาได้รับการคัดเลือกเข้าทีมชาติ และเปิดประตูสู่เส้นทางแห่งเกียรติยศที่ไม่มีใครคาดคิด เขาเดินทางไปแข่งขันที่สหรัฐอเมริกาและคว้าเหรียญทองแดงชิงแชมป์โลก ไปจีนคว้าเหรียญทองแดงเอเชียนเกมส์ และท้ายที่สุดก็ผงาดขึ้นเป็นแชมป์โลก IBF ในปี 2557 นี่คือเรื่องราวแบบฮอลลีวูดจากนักโทษสู่แชมป์โลก จากคนที่สังคมตีตรา กลายเป็นความภาคภูมิใจของชาติ

แต่เรื่องราวที่เริ่มต้นด้วย "การเก็บเกี่ยวผลผลิตในฐานะแชมป์โลก หรือนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ Redemption" กลับจบลงด้วย "โศกนาฎกรรม Tragedy" อย่างรวดเร็วเกินคาด เมื่อไฟสปอตไลต์ดับลง เมื่อเสียงเชียร์เงียบไป เมื่อไม่มีเหรียญให้คว้าอีกต่อไป อำนาจก็กลายเป็นเพียงอดีตนักกีฬาอีกคนหนึ่งที่สังคมค่อยๆ ลืมเลือน ชีวิตหลังเกษียณของเขาเต็มไปด้วยปัญหา แยกทางกับภรรยา ไม่มีญาติพี่น้องดูแลอย่างใกล้ชิด และที่สำคัญที่สุดคือมีปัญหาสุขภาพจิตที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนควบคุมตัวเองไม่ได้ สภาพของเขาดูเหมือนคนเร่ร่อน ไม่มีที่พึ่ง มีเพียงความเศร้าและความทุกข์ในจิตใจที่สะสมมาตลอด และแอลกอฮอล์ก็กลายเป็นทางหนีเดียวที่เขาหาได้

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ไกลออกไปทางฝั่งอเมริกา Jake Paul ยูทูบเบอร์ที่ผันตัวมาเป็นนักมวย กำลังเตรียมตัวชกกับ Mike Tyson ในการแข่งขันที่คาดว่าจะสร้างรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ Jake ไม่เคยคว้าเหรียญทองในโอลิมปิก ไม่เคยผ่านระบบฝึกฝนแบบนักกีฬาทีมชาติ แต่เขามีสิ่งที่อำนาจไม่มี เขามีผู้ติดตามนับสิบล้านคน มีทีมงานมืออาชีพ มีสัญญาที่คุ้มครองเขาในทุกแง่มุม และที่สำคัญที่สุดคือเขามีเงินหลั่งไหลเข้ากระเป๋าไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ทุกการต่อยของเขามี Return on Investment ทุกคลิปที่แพร่ออกไปกลายเป็นเงินทอง การชกของ Jake ไม่ใช่แค่กีฬา มันคือ "Sportainment" การผสมผสานระหว่างกีฬากับความบันเทิงที่ทุกอย่างมีราคา ทุกอย่างวัดได้ด้วยเลขศูนย์ท้ายบัญชี

ความแตกต่างระหว่างโลกของ Jake Paul กับโลกของอำนาจ รื่นเริง สะท้อนให้เห็นถึงสองระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในวงการกีฬา โลกของ Jake เป็นโลกของ "Attention Economy" เศรษฐกิจที่วัดมูลค่าด้วยความสนใจของผู้ชม ผู้ติดตาม ยอดวิว และการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย ในโลกนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักกีฬาที่ดีที่สุด คุณแค่ต้องน่าสนใจที่สุด ต้องสร้างกระแสได้ ต้องทำให้คนพูดถึง ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือไม่ดี เพราะในท้ายที่สุด "All publicity is good publicity" ในโลกของ Attention Economy ความสามารถในการชกเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้า ส่วนที่เหลือคือบุคลิก เรื่องราว ดราม่า และความสามารถในการสร้างคอนเทนต์

ในขณะที่โลกของอำนาจเป็นโลกของ "Glory Economy" เศรษฐกิจของเกียรติยศ ที่วัดความสำเร็จด้วยเหรียญทอง แชมป์โลก ความภาคภูมิใจของชาติ และเสียงปรบมือจากประชาชน ในโลกนี้ คุณต้องเป็นนักกีฬาที่ดีที่สุด ต้องฝึกฝนอย่างหนัก ต้องเสียสละทุกอย่างเพื่อความเป็นเลิศ คุณได้รับความภาคภูมิใจ ได้รับการยกย่อง ได้รับรางวัลเงินสดจากรัฐบาล แต่เมื่อเกษียณแล้ว เมื่อไม่มีเหรียญให้คว้าอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีกองทุนบำเหน็จบำนาญที่มั่นคง ไม่มีทีมที่ปรึกษาทางการเงิน ไม่มีนักจิตวิทยากีฬาคอยดูแล มีเพียง "เกียรติยศ" ที่ค่อยๆ สนิมไปตามกาลเวลา

นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส Pierre Bourdieu เคยกล่าวถึงแนวคิดเรื่อง "ทุน" ในสังคม ไม่ใช่แค่เงินทอง แต่รวมถึง "ทุนทางวัฒนธรรม" "ทุนทางสังคม" และ "ทุนเชิงสัญลักษณ์" Jake Paul มี Economic Capital (เงินทอง) และ Social Capital (เครือข่ายสังคม, ผู้ติดตาม, ทีมงาน) ที่สามารถแปลงเป็นรายได้และระบบคุ้มครองได้อย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะไม่ชกอีกแล้ว เขาก็ยังมีช่องทางสร้างรายได้จากชื่อเสียงและแพลตฟอร์มของเขา ในขณะที่อำนาจมีเพียง Symbolic Capitalเกียรติยศจากการเป็นแชมป์โลก ซึ่งเป็นทุนที่มีมูลค่าสูงมากในสังคมไทย แต่กลับเป็นทุนที่ไม่สามารถแปลงเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมได้ เมื่อเขาออกจากสนามแข่งขัน เกียรติยศนั้นไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาล ไม่ได้คอยดูแลสุขภาพจิต และไม่ได้ป้องกันไม่ให้เขาตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เรื่องราวของอำนาจไม่ใช่กรณีเดียวในประวัติศาสตร์กีฬาไทย มีอดีตนักกีฬาหลายคนที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่สังคมวิทยาการกีฬาเรียกว่า "Post-Athletic Career Crisis" วิกฤตหลังเกษียณจากกีฬา ปัญหานี้เกิดจากหลายปัจจัย อันดับแรกคือการสูญเสียอัตลักษณ์ เมื่อคุณใช้ชีวิตทั้งชีวิตเป็น "นักกีฬา" เมื่อคนเรียกคุณว่า "แชมป์โลก" เมื่ออัตลักษณ์ของคุณผูกติดกับความสำเร็จในสนามแข่งขัน แล้ววันหนึ่งเมื่อคุณไม่ได้แข่งอีกต่อไป คุณจะเป็นใคร? คำถามนี้ทำให้นักกีฬาเกษียณหลายคนรู้สึกหลงทาง รู้สึกว่าชีวิตไม่มีจุดหมาย ไม่มีเป้าหมายให้ไล่ตามอีกต่อไป

ปัญหาที่สองคือการขาดทักษะการใช้ชีวิตนอกสนามกีฬา นักกีฬาระดับทีมชาติส่วนใหญ่เริ่มฝึกตั้งแต่อายุยังน้อย ใช้เวลาทั้งชีวิตในค่าย ในห้องซ้อม บนสนามแข่งขัน พวกเขาไม่ได้เรียนรู้ทักษะการบริหารการเงิน ไม่ได้สร้างเครือข่ายทางสังคมนอกวงการกีฬา ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับอาชีพหลังเกษียณ และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเกษียณ ไม่ว่าจะเพราะอายุ บาดเจ็บ หรือผลงานตกต่ำ พวกเขาก็พบว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่น ไม่มีทักษะที่สังคมภายนอกต้องการ และไม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรี

ปัญหาที่สามและสำคัญที่สุดคือปัญหาสุขภาพจิต การเป็นนักกีฬาระดับสูงมาพร้อมกับแรงกดดันอย่างมหาศาล ความคาดหวังจากตัวเอง จากโค้ช จากครอบครัว และจากชาติ ความกลัวที่จะผิดพลาด ความวิตกกังวลก่อนแข่ง และความผิดหวังเมื่อแพ้ สิ่งเหล่านี้สะสมในจิตใจโดยที่ไม่มีใครดูแล เพราะในวัฒนธรรมกีฬาแบบไทย การแสดงความอ่อนแอทางจิตใจถือเป็นสิ่งที่น่าอาย "นักกีฬาต้องเข้มแข็ง" "ต้องทนทาน" "ต้องสู้" คำพูดเหล่านี้ทำให้นักกีฬาหลายคนเก็บความทุกข์ไว้ข้างใน จนกระทั่งมันระเบิดออกมาในรูปแบบของซึมเศร้า วิตกกังวล หรือการหันไปพึ่งสารเสพติดเช่นแอลกอฮอล์เพื่อเป็นทางหนี

โปรโมเตอร์ชื่อดัง "เสี่ยโบ๊ท" ณัฐเดช วชิรรัตนวงศ์ เคยพยายามช่วยอำนาจ เขาพาอำนาจไปบำบัดและอาการก็ดีขึ้น แต่ปัญหาคือไม่มีระบบดูแลต่อเนื่อง อำนาจไม่มีญาติพี่น้องที่จะคอยเฝ้าดู คอยพาไปพบแพทย์สม่ำเสมอ คอยให้กำลังใจ การบำบัดครั้งเดียวไม่เพียงพอกับปัญหาที่สะสมมาหลายปี และเมื่อไม่มีระบบรองรับ อำนาจก็กลับมาตกต่ำอีกครั้ง กลับมาอยู่ในวังวนเดิมของความเหงา ความเศร้า และการพึ่งพาแอลกอฮอล์ เสี่ยโบ๊ทโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กด้วยความหดหู่ใจ วิงวอนให้หน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือ เพราะเขารู้ว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ "ก็ต้องโดนเขาตีตาย อย่าให้อดีตฮีโร่ของคนไทยต้องอยู่ในสภาพแบบนี้เลย" คำพูดนี้ฟังดูเศร้า แต่มันสะท้อนความจริงที่โหดร้าย ระบบกีฬาไทยสร้างฮีโร่ แต่ทิ้งพวกเขาให้ตายอย่างเงียบเหงาเมื่อไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

คลิปที่อำนาจถูกจับล็อกลงพื้นหน้าร้านสะดวกซื้อกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีที่โซเชียลมีเดียบริโภคเหตุการณ์นี้ ในโลกของ Jake Paul แม้เขาจะแพ้หรือทำอะไรผิดพลาด คลิปก็จะถูกตัดต่อเป็น Highlight เป็น Meme เป็น Marketing Content ที่ช่วยสร้างกระแสและเงินให้กับเขา ทุกอย่างคือ "Content" ที่มีมูลค่า แต่สำหรับอำนาจ คลิปที่เขาเมาและถูกทำร้ายกลายเป็น "Spectacle of Failure" ภาพแห่งความล้มเหลวที่ผู้คนบริโภคเป็นความบันเทิง คนแชร์คลิปไม่ใช่เพื่อแสดงความห่วงใย ไม่ใช่เพื่อหาทางช่วยเหลือ แต่เพื่อเยาะเย้ย เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ว่า "อดีตแชมป์โลกยังสู้วัยรุ่นไม่ได้" หรือ "เมาแล้วไปอาละวาด" โดยไม่สนใจว่าเบื้องหลังความเมานั้นคือความทุกข์ทรมานทางจิตใจที่ไม่มีใครช่วยเหลือ

วัยรุ่นที่มีเหตุการณ์ปะทะกับอำนาจได้ออกมาชี้แจงว่าเขาไม่ได้อยากทำร้ายใคร เขาพยายามพูดดีๆ ให้อำนาจกลับไปพักผ่อน แต่อำนาจไม่ฟัง ผลักเขา และมีท่าทีจะทำร้าย เขาจึงจำเป็นต้องป้องกันตัว คำชี้แจงนี้ฟังดูสมเหตุสมผล และในหลายๆ ความคิดเห็นบนโซเชียล ผู้คนก็เห็นใจวัยรุ่นคนนี้ แต่น้อยคนนักที่หันมาถามว่า ทำไมอำนาจถึงอยู่ในสภาพนั้น? ทำไมอดีตแชมป์โลกถึงต้องเมาหมดสภาพหน้าร้านสะดวกซื้อ? ทำไมเขาถึงไม่มีใครดูแล? ทำไมเขาถึงต้องอยู่ในสภาพที่ดูเหมือนคนเร่ร่อน? คำถามเหล่านี้ชี้ไปที่ระบบ ไม่ใช่ที่ตัวบุคคล

และนี่ทำให้เราต้องกลับมาคิดถึงกรณีของมะเส็ง เจ้าของเพจมิสเตอร์ไฟท์ที่ประกาศท้าชกอำนาจ รื่นเริง การท้าชกนี้ในเชิงหนึ่งดูเหมือนโอกาสที่ดีสำหรับอำนาจ เขาจะได้กลับมาอยู่ในสปอตไลต์อีกครั้ง ได้เงินค่าชก อาจจะได้ความภาคภูมิใจกลับคืนมา แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่คือการชนกันของสองโลกที่ไม่เท่าเทียมกัน มะเส็งมี Social Capital เขามีแพลตฟอร์ม มีผู้ติดตาม มีทีมงาน มีระบบสนับสนุน ไม่ว่าเขาจะชนะหรือแพ้ เขาก็ได้คอนเทนต์ ได้กระแส ได้ผู้ติดตามเพิ่มขึ้น และท้ายที่สุดก็ได้เงิน แต่อำนาจมีอะไร? เขามีเกียรติยศที่จางหาย มีฝีมือที่ถูกทำลายด้วยแอลกอฮอล์และความไม่แข็งแรงทางสุขภาพจิต เขาไม่มีทีมงาน ไม่มีคนดูแล ไม่มีระบบคุ้มครอง การชกครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาที่จะได้เงินบ้าง หรืออาจจะเป็นอีกหนึ่งความอับอายที่ถูกบันทึกไว้ในคลิปวิดีโอและแพร่กระจายเป็นล้านครั้ง

นี่คือความโหดร้ายของ Attention Economy ในยุคโซเชียลมีเดีย ใครมีกระแสคือใครมีอำนาจ แม้ว่าจะไม่มีฝีมือหรือความสามารถเท่ากับคนที่อุทิศชีวิตเพื่อศิลปะนั้นก็ตาม Influencer สามารถท้าชกกับแชมป์โลกได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาเก่งกว่า แต่เพราะพวกเขามีสิ่งที่มีค่ากว่าในโลกนี้ ความสนใจของผู้ชม และความสนใจนั้นแปลงเป็นเงินได้ง่ายกว่าเหรียญทองหรือแชมป์โลก

ถ้าเราถอยออกมามองภาพใหญ่ เรื่องราวของอำนาจ รื่นเริง ไม่ใช่แค่เรื่องราวของบุคคลคนหนึ่งที่ตกต่ำ มันคือ Case Study ของระบบกีฬาไทยที่สร้างวีรบุรุษแล้วทิ้งพวกเขาไปเมื่อหมดประโยชน์ เราต้องการให้นักกีฬาไปคว้าเหรียญทอง คว้าแชมป์โลก เพื่อยกระดับชื่อเสียงของประเทศ เพื่อให้คนไทยได้ภูมิใจ แต่เมื่อพวกเขาทำได้แล้ว เราให้อะไรแก่พวกเขา? เงินรางวัลก้อนเดียว? ความภาคภูมิใจชั่วขณะ? แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เมื่อร่างกายพวกเขาพังจากการฝึกหนัก จิตใจพวกเขาบอบช้ำจากแรงกดดัน และพวกเขาไม่มีทักษะอื่นใดที่จะใช้เลี้ยงชีวิต ระบบของเรามีอะไรให้พวกเขาบ้างไหม?

ในขณะที่นักกีฬาระดับโลกในหลายประเทศมีกองทุนบำเหน็จบำนาญที่มั่นคง มีทีมที่ปรึกษาทางการเงินช่วยบริหารเงินรางวัล มีนักจิตวิทยากีฬาคอยดูแลสุขภาพจิตทั้งในและหลังเกษียณ มีโปรแกรมเตรียมความพร้อมสำหรับอาชีพหลังเกษียณ และมีสังคมที่เคารพและดูแลอดีตนักกีฬาอย่างต่อเนื่อง นักกีฬาไทยกลับมีเพียง "เกียรติยศ" และ "ความทรงจำ" ที่จางหายไปเมื่อเวลาผ่าน ไม่มีใครจำได้ว่าเมื่อ 10 ปีก่อน อำนาจ รื่นเริง เป็นความภาคภูมิใจของชาติ คนจำได้เพียงแค่ว่าตอนนี้เขาเป็นคนเมาที่โดนวัยรุ่นทำร้ายหน้าร้านสะดวกซื้อ

น้าของอำนาจให้สัมภาษณ์อย่างเจ็บปวดว่าเธอต้องการให้หน่วยงานภาครัฐช่วยรับอำนาจไปรักษา เพราะเขามีปัญหาทางจิตที่รุนแรง ไม่มีคนดูแล และถ้าปล่อยไว้แบบนี้ก็อาจจะมีอันตรายถึงชีวิต นี่ไม่ควรเป็นหน้าที่ของครอบครัวเพียงอย่างเดียว ควรเป็นหน้าที่ของระบบ ระบบที่ใช้เขาเมื่อเขามีประโยชน์ ก็ควรดูแลเขาเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ แต่ความจริงคือระบบนั้นไม่มีอยู่จริง หรือถ้ามีก็อ่อนแอเกินไปที่จะช่วยใครได้จริงๆ

เรื่องราวของอำนาจทำให้เราต้องถามตัวเองว่า เราต้องการอะไรจากนักกีฬากันแน่? แค่เหรียญทองใช่ไหม? แค่ชื่อเสียงชั่วขณะที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจในฐานะคนไทย? แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เมื่อเหรียญนั้นสนิม เมื่อชื่อเสียงนั้นจางหาย เราพร้อมจะดูแลพวกเขาไหม? หรือเราจะปล่อยให้พวกเขาตกหล่นลงสู่ชายขอบของสังคม กลายเป็นเพียงสถิติอีกหนึ่งคนของอดีตนักกีฬาที่ตกต่ำ?

เหตุการณ์คืนนั้นหน้าร้านสะดวกซื้อในชลบุรี ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ความรุนแรงธรรมดา มันคือจุดจบที่น่าเศร้า ด้วยความฝันที่จะพิสูจน์ตัวเอง และด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ยืนบนโพเดียมโลก แต่เส้นทางนั้นจบลงด้วยความเหงา ความเมา ความสับสน และในท้ายที่สุดก็คือการถูกจับล็อกลงพื้นโดยคนที่ไม่ได้รู้จักว่าเขาเคยเป็นใคร

และนั่นคือบทเรียนที่โหดร้ายที่สุดของเรื่องราวนี้ ในระบบที่ไม่ดูแลนักกีฬาหลังเกษียณ ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นแชมป์โลกหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เมื่อคุณไม่มีคุณค่าในสนามแล้ว คุณก็ไม่มีคุณค่าในสังคม เมื่อคุณไม่สามารถสร้างเหรียญทองให้ชาติได้อีกต่อไป สังคมก็จะค่อยๆ ลืมคุณ จนกระทั่งวันหนึ่งคุณกลายเป็นเพียงคลิปวิดีโอที่คนแชร์เพื่อเยาะเย้ย ไม่ใช่เพื่อระลึกถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตของคุณอีกต่อไป

อำนาจ รื่นเริง ไม่ใช่คนเดียว มีอดีตนักกีฬาอีกหลายคนที่กำลังเผชิญกับชะตากรรมเดียวกัน แต่เราไม่เห็นพวกเขา เพราะคลิปของพวกเขายังไม่ไวรัล เพราะเรื่องราวของพวกเขายังไม่น่าสนใจพอที่จะทำให้คนหันมาสนใจ และเมื่อถึงเวลาที่เรื่องราวของพวกเขาได้รับความสนใจ มันก็จะสายเกินไปแล้ว เหมือนกับกรณีของอำนาจ ที่คนเริ่มพูดถึงเขาอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะเขาคว้าแชมป์ใหม่ แต่เพราะเขาถูกทำร้ายหน้าร้านสะดวกซื้อ

บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่สังคมไทยจะได้หันมาตระหนักถึงปัญหานี้ คลิปที่น่าเศร้านั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตื่นตัว อาจจะทำให้มีระบบดูแลนักกีฬาหลังเกษียณขึ้นมาจริงๆ หรืออาจจะไม่ บางทีอาทิตย์หน้า เดือนหน้า เราก็จะลืมเรื่องนี้ไป และรอจนกว่าจะมีอดีตนักกีฬาอีกคนตกต่ำ มีคลิปแพร่ออกไป และเราก็จะกลับมาวนซ้ำอีกครั้ง

แต่ถ้าเราเลือกที่จะเรียนรู้จากเรื่องนี้ ถ้าเราเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงระบบ อำนาจ รื่นเริง อาจจะไม่ใช่คนสุดท้ายที่ต้องตกต่ำแบบนี้ เขาอาจจะเป็น Turning Point ที่ทำให้เราตระหนักว่า นักกีฬาไม่ใช่แค่เครื่องมือสร้างเหรียญทอง พวกเขาคือมนุษย์ที่มีชีวิต มีความรู้สึก มีปัญหา และต้องการความช่วยเหลือ ไม่ใช่แค่ในวันที่พวกเขายืนบนโพเดียม แต่ทุกวันจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต

และนั่นคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างสังคมที่แค่ใช้ประโยชน์จากนักกีฬา กับสังคมที่แท้จริงเคารพและดูแลพวกเขา คำถามคือ เราอยากเป็นสังคมแบบไหน?


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แยกทางอิชิอิ: ปัญหาเชิงโครงสร้างของฟุตบอลไทยที่ใครไม่เข้าใจ ?

Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

การใช้ค่า P-value ผิดวิธีในงานวิจัย (ฉบับชีวกลศาสตร์การกีฬา)