จากเด็กเก่งในห้องสู่ปัญหาในออฟฟิศ การแข่งขันที่เกิดขึ้นในสังคมไทย

 คุณเคยเจอเพื่อนร่วมงานที่ "เก่งเกินไป" จนกลายเป็นปัญหาไหม?

https://www.witten.kim/blog/perfectionism-imposter-loop

คนที่ไม่ยอมมอบงานให้ใคร เพราะกลัวคนอื่นทำไม่ดีเท่าตัวเอง คนที่ทำงานหนักจนล้มป่วย แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดพัก คนที่วิจารณ์ตัวเองอย่างรุนแรงทุกครั้งที่มีข้อผิดพลาดเล็กน้อย หรือคนที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่กลับรู้สึกตัวเองเป็นมิจฉาชีพที่กำลังจะถูกเปิดโปงเสมอ

เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เริ่มต้นในออฟฟิศ แต่มันเริ่มต้นนานมาแล้ว ตั้งแต่เรายังนั่งอยู่ในห้องเรียน

เมื่อคำว่า "ต้องเป็นที่หนึ่ง" กลายเป็นพิษ

ในสังคมไทย เราคงคุ้นเคยกับประโยคแบบนี้: "ต้องเรียนให้เก่ง ต้องได้เกรด 4.00 ต้องเป็นที่หนึ่ง ไม่งั้นจะไม่มีอนาคต" ฟังดูเหมือนเป็นการจูงใจที่ดี แต่จริงๆ แล้วมันคือจุดเริ่มต้นของวงจรอุบาทว์ หรือไม่

งานวิจัยพบว่า ความเป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionism) โดยเฉพาะแบบที่มีความกังวลเกี่ยวกับมาตรฐาน มีความสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะหมดไฟ (burnout) ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความเหนื่อยล้า ความรู้สึกไร้ค่า และทัศนคติแง่ลบต่องาน [1]

แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่มีแนวโน้มความเป็นนักสมบูรณ์แบบมักประสบปัญหา "โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง" (imposter syndrome) คิดว่ายังทำได้ไม่ดีพอ ทำให้เกิดความเครียดทางวิชาการ และความวิตกกังวลในการสื่อสาร [2] และนี่คือสิ่งที่พวกเขาจะพาติดตัวไปที่ทำงาน หลังจากที่เรียนจบมาด้วย

วงจรอุบาทว์: จากห้องเรียนสู่ออฟฟิศ

ลองนึกภาพดูสิ เด็กคนหนึ่งเติบโตมาพร้อมกับคำว่า "ต้องสมบูรณ์แบบ" ตลอดเวลา:

ได้ 99 คะแนน พ่อแม่ถาม "ทำไมไม่ได้ 100?"

ได้อันดับ 2 ครูบอก "พยายามอีกหน่อยนะ จะได้อันดับ 1"

ทำอะไรผิดพลาด ถูกว่า "ทำยังไง เก่งขนาดนี้ยังทำผิดได้"

ในสังคมไทย นั้น เรามักจะสร้างให้คนในสังคมเกิดการแข่งขันกัน แข่งขันกันเพื่อจะเป็นที่หนึ่ง แข่งขันกันเข้าคณะ หรือ โรงเรียนที่ดีๆ ลูก หลานเราจึงถูกปลูกฝังว่าจะต้องแข่งขัน ฉันต้องดี ฉันต้องเก่งที่สุด ถามว่าผิดไหม คงไม่ผิดหรอก เพราะโครงสร้างของสังคมมันมาเป็นแบบนี้ แต่วิธีการหละ อันนี้ซิน่าคิด เราจะทำให้ลูกหลาน ของเราเก่งได้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา เป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ปกครอง จะต้องตีให้แตก ในทางกีฬา ถ้าคุณได้ไปดูการแข่งขันกีฬาระดับเยาวชน เราก็มักจะเห็นพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ลงทุนจ้างโค้ชเก่งๆ มาเทรนลูกเรา ลงทุนกับอาหารเสริม ลงทุนกับวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อให้ลูกของเราต้องติดโพเดียมในการแข่งขัน บางครั้งเราก็ได้เห็นผู้ปกครอง ออกประท้วงแทนลูกของเราก็มี เมื่อคำว่าต้องเพอร์เฟค ถูกถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่รุ่นลูก ก็เป็นธรรมดา ที่เด็กจะต้องเครียดและ Burn Out ไปในที่สุด หลายคนเลิกเล่นกีฬาพอเข้ามหาวิทยาลัย เรามีเก่งเล็ก แต่เก่งใหญ่เราก็หายาก หรือบางครั้ง เราอาจจะเห็นนักกีฬาที่เวลาพ่ายแพ้มาแล้วเกิดอาการ เกรี้ยวกราด ด่าคนดูตามเพจต่างๆ นี่คือความเครียด บนความสมบูรณ์แบบ

กลับมาดูในแง่ของทางวิชาการกันบ้าง มีวิจัยแสดงให้เห็นว่า ความเครียดทางวิชาการสามารถทำให้ผลการเรียนตกลง ทำลายแรงจูงใจ และเพิ่มความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษา [3] ส่วนผลกระทบระยะยาว การศึกษาระยะยาวในนิวซีแลนด์ตลอด 25 ปี พบว่า ภาวะซึมเศร้าในช่วงอายุ 16-21 ปีสามารถเพิ่มอัตราการว่างงานและการพึ่งพาสวัสดิการสังคมในระยะยาว [4] เพราะเขาเหล่านั้น เกิดสภาวะหมดไฟ ทำให้ไม่อยากที่จะทำงาน เพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีบ้าง เพราะโดนตำหนิจากความเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมาก็เยอะ

https://inspiredexperiences.co.uk/the-five-types-of-imposter-syndrome/

เมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นและเข้าสู่ที่ทำงาน ความคิดและพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน มันกลายเป็น:

1. ภาวะหมดไฟในที่ทำงาน (Workplace Burnout)

งานวิจัยระบุว่า การยึดมั่นกับความสมบูรณ์แบบอย่างมากเกินไปทำให้คนงานมีความมุ่งมั่นต่องานมากเกินไป (overcommitment) ซึ่งเป็นตัวกลางที่นำไปสู่ภาวะหมดไฟ [5] ภาวะหมดไฟนี้เชื่อมโยงกับผลลัพธ์เชิงลบมากมายในที่ทำงาน เช่น การขาดงาน อัตราการลาออกสูง ขวัญกำลังใจต่ำ และผลงานที่ลดลง [6]

ในบริบทไทย เราอาจเรียกคนเหล่านี้ว่า "คนทำงานหนัก" "ขยัน" หรือ "ตั้งใจ" แต่ความจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ทำงานหนักเพราะรักงาน แต่ทำเพราะ กลัวว่าตัวเองจะไม่ดีพอ ในหน่วยงานที่เต็มไปด้วยคนที่คลั่งไคล้กับความสมบูรณ์แบบ

2. โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง (Imposter Syndrome)

ในประชากรทั่วไป มีถึง 82% ที่เคยประสบกับอาการนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จ คนที่มีอาการนี้มักจะทำงานหนักมากเกินไป เพื่อ "พิสูจน์" คุณค่าของตัวเอง เป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่ตำหนิตัวเองอย่างรุนแรงแม้กับข้อผิดพลาดเล็กน้อย [7]

พฤติกรรมเหล่านี้เกิดจากที่คนพยายามชดเชยความรู้สึกไม่เพียงพอของตัวเอง ถ้าปล่อยให้อาการคิดว่าตัวเองยังไม่เก่ง หรือยังไม่ดีพอ ดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการดูแล อาจส่งผลต่อความพึงพอใจในงาน การเติบโตในสายอาชีพ นวัตกรรม และความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม

ในออฟฟิศไทย เราอาจเห็นคนที่ "ถ่อมตัวเกินไป" ปฏิเสธคำชมเสมอ หรือบอกว่า "ไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอก" แม้จะทำงานได้ดีมาก นี่ไม่ใช่ความถ่อมตัว แต่เป็นอาการของ imposter syndrome

3. ทำลายการทำงานเป็นทีม

ความเป็นนักสมบูรณ์แบบส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกัน เมื่อมาตรฐานสูงเกินจริง สมาชิกในทีมมักไม่กล้าแชร์ไอเดียหรือมีส่วนร่วมในโปรเจกต์ นอกจากนี้ยังขัดขวางนวัตกรรม เพราะความคิดสร้างสรรค์มักมาจากกระบวนการที่ยุ่งเหยิง การระดมสมอง และการเสี่ยง ซึ่งทั้งหมดต้องการเสรีภาพในการทำผิด

ในที่ทำงานไทย เราอาจเห็น:

หัวหน้าที่ไม่ยอมมอบหมายงาน เพราะคิดว่า "ลูกน้องทำไม่ดีเท่าตัวเอง"

คนที่ตัดสินงานของผู้อื่นอย่างรุนแรง เพราะคิดว่า "ทำได้ดีกว่านี้"

บรรยากาศที่ทุกคนกลัวจะทำผิด จนไม่กล้าเสนอไอเดียใหม่ๆ

4. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ

ผู้นำที่ต่อสู้กับอาการผู้ที่คิดว่าตัวเองยังไม่เก่ง อาจสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความกดดันโดยไม่ตั้งใจ สะท้อนความวุ่นวายภายในของพวกเขาเอง สิ่งนี้อาจสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัวและความไม่มั่นคง ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวและความร่วมมือของทีม และส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน

ในบริบทไทย สิ่งนี้ยิ่งแย่หากรวมกับวัฒนธรรม "ระบบอาวุโส" ที่คนรุ่นใหม่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น กลัวจะถูกมองว่า "ไม่เคารพ" หรือ "ทำตัวเก่ง"

ผลลัพธ์: องค์กรที่แย่และคนที่ทุกข์

การวิจัยแสดงว่า คนที่มีอาการคิดว่าตัวเองยังไม่ดีพอ หรือยังไม่เก่งพอ มีแนวโน้มน้อยกว่าที่จะพูดในที่ประชุม แชร์ไอเดีย หรือรับความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งทั้งหมดสามารถจำกัดการเติบโตและศักยภาพของพวกเขาภายในองค์กร

สำหรับองค์กร ต้นทุนไม่ใช่แค่ในระดับบุคคล แต่เป็นต้นทุนรวม การไม่จัดการกับปัญหาเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดอัตราการลาออกสูง ผลิตภาพลดลง และขาดความหลากหลายในตำแหน่งผู้นำ

ทางออก: ทำลายวงจรอุบาทว์

สำหรับบุคคล

การกำจัดอาการผู้แอบอ้างหมายถึงการกำจัดความเป็นนักสมบูรณ์แบบด้วย ซึ่งอาจยากมาก เพราะเรามักเชื่อผิดๆ ว่าความเป็นนักสมบูรณ์แบบและพฤติกรรมที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ

สิ่งที่ควรทำ:

ยอมรับความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต ไม่ใช่โอกาสในการตำหนิตัวเอง

ตั้งความคาดหวังที่สมจริง โดยไม่คิดว่าเป็นการ "ปรับมาตรฐานต่ำเกินไป"

ฝึกความเห็นอกเห็นใจตัวเอง และรู้ว่ามันไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพหรือความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ ลดลง

เข้าใจว่าความคิดย้ำคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้อื่นคิด (มักเป็นเชิงลบ) เกี่ยวกับผลงานที่ไม่สมบูรณ์แบบของคุณนั้นเป็นอันตราย

สำหรับผู้นำและองค์กร

วัฒนธรรมที่ทำงานที่มีผลลัพธ์รุนแรงต่อความล้มเหลวมีแนวโน้มที่จะส่งเสริมความเป็นนักสมบูรณ์แบบ การทำงานหนักเกินไป และอาการผู้แอบอ้างในหมู่พนักงาน สิ่งสำคัญคือต้องส่งข้อความที่ชัดเจนว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นแหล่งของความอับอาย

องค์กรควร:

ตรวจสอบพนักงานเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่ได้โอเวอร์โหลดตัวเอง

ตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง และเป็นไปได้

เปลี่ยนจุดเน้นจากผลลัพธ์ไปเป็นกลยุทธ์ วิธีการ

เรียนรู้ที่จะชื่นชมความไม่สมบูรณ์แบบโดยการเรียนรู้จากความผิดพลาด

สำหรับระบบการศึกษา

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราต้องเปลี่ยนวิธีการปลูกฝังค่านิยมให้เด็ก:

1. เปลี่ยนจาก "ต้องเป็นที่หนึ่ง" เป็น "ต้องเติบโต" - เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าผลลัพธ์

2. สอนให้เด็กรับมือกับความล้มเหลว - ไม่ใช่หลีกเลี่ยง

3. ชื่นชมความพยายาม ไม่ใช่แค่ความสมบูรณ์แบบ - "หนูพยายามมากเลย" ดีกว่า "หนูเก่งมาก"

4. สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการทำผิด - ให้เด็กได้ลองผิดลองถูกโดยไม่กลัว

บทเรียนสำหรับสังคมไทย

ในสังคมไทย เรามักจะยกย่อง "เด็กเรียนดี เด็กเรียนเก่ง ได้เกรดดี" แต่ลืมไปว่า การเน้นความสมบูรณ์แบบมากเกินไปอาจสร้างปัญหาในระยะยาว

เรามักได้ยินพ่อแม่พูดว่า:

"ลูกต้องทำตัวอย่างพ่อล่ะ ต้องขยันเรียน"

"เราเสียค่าเทอมเท่านี้ ต้องได้ดีที่สุด"

"อย่าทำให้พ่อแม่เสียหน้า"

ข้อความเหล่านี้ ถึงแม้จะมาจากความตั้งใจดี แต่มันสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาล และเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้น พวกเขาจะนำความกดดันนี้ไปใช้กับตัวเอง กับเพื่อนร่วมงาน และกับลูกน้อง

ผลลัพธ์? เราได้คนที่ "เก่ง" แต่ "ไม่มีความสุข" ได้คนที่ "ประสบความสำเร็จ" แต่ "เบิร์นเอาท์" และได้สังคมที่ทุกคนแข่งขันกัน แต่ไม่มีใครช่วยเหลือกัน

ภาวะซึมเศร้าและความคิดแบบ "ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องเก่งที่สุด" ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเรียนไม่ได้หายไปเมื่อเราเข้าสู่ที่ทำงาน มันกลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ส่งผลต่อทั้งคนทำงาน เพื่อนร่วมงาน และองค์กรทั้งหมด

การทำลายวงจรนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันจำเป็น เราต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนวิธีการศึกษา การเลี้ยงดูเด็ก และการสร้างวัฒนธรรมในที่ทำงาน

จำไว้ว่า: ความเป็นเลิศไม่ได้หมายถึงความสมบูรณ์แบบ และความสำเร็จที่แท้จริงไม่ได้วัดจากว่าคุณไม่เคยล้มเหลว แต่วัดจากว่าคุณลุกขึ้นได้กี่ครั้งหลังจากล้ม และคุณช่วยคนอื่นลุกขึ้นได้กี่คน

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ที่ทำงานที่ดีที่สุดไม่ใช่ที่ที่มีแต่ "คนเก่ง" แต่เป็นที่ที่ทุกคนสามารถเติบโต เรียนรู้ร่วมกันจากความผิดพลาด และสนับสนุน แบ่งปัน ซึ่งกันและกันได้ ต่างหาก

เอกสารอ้างอิง

1. Limburg K, Watson HJ, Hagger MS, Egan SJ. The relationship between perfectionism and psychopathology: A meta-analysis. J Clin Psychol. 2017;73(10):1301-26.

2. Stoeber J, Otto K. Positive conceptions of perfectionism: Approaches, evidence, challenges. Pers Soc Psychol Rev. 2006;10(4):295-319.

3. Pascoe MC, Hetrick SE, Parker AG. The impact of stress on students in secondary school and higher education. Int J Adolesc Youth. 2020;25(1):104-12.

4. Fergusson DM, Boden JM, Horwood LJ. Recurrence of major depression in adolescence and early adulthood, and later mental health, educational and economic outcomes. Br J Psychiatry. 2007;191:335-42.

5. Schonfeld IS, Bianchi R. Burnout and depression: Two entities or one? J Clin Psychol. 2016;72(1):22-37.

6. Childs JH, Stoeber J. Do you want me to be perfect? Two longitudinal studies on socially prescribed perfectionism, stress and burnout in the workplace. Work Stress. 2012;26(4):347-64.

7. Clance PR, Imes SA. The imposter phenomenon in high achieving women: Dynamics and therapeutic intervention. Psychother Theory Res Pract. 1978;15(3):241-7.


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

การใช้ค่า P-value ผิดวิธีในงานวิจัย (ฉบับชีวกลศาสตร์การกีฬา)

จากวีรบุรุษสู่คนชายขอบของสังคมไทย: บทเรียนสังคมวิทยาการกีฬาจากอำนาจ รื่นเริง