ซีเกมส์ 2025: วิกฤตโครงสร้างและการค้นหาจุดยืนของกีฬาอาเซียน





บารอน ปิแอร์ เดอ กูแบร์แต็ง บิดาแห่งโอลิมปิกสมัยใหม่ กล่าวว่า "สิ่งสำคัญไม่ใช่การชนะ แต่คือการเข้าร่วม" เขาได้วางรากฐานของปรัชญาที่เชื่อว่ากีฬาคือเครื่องมือสร้างสันติภาพและความเข้าใจระหว่างมนุษย์ ไม่ใช่สนามรบของชาตินิยม การแข่งขันกีฬาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ Southeast Asian Games ที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2502 ก็มีจุดมุ่งหมายคล้ายคลึงกัน คือการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างชาติในภูมิภาคหลังยุคล่าอาณานิคม อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ซีเกมส์ได้เบี่ยงเบนไปจากเจตนารมณ์เดิม กลายเป็นเวทีแสดงพลังแห่งชาตินิยมและการแข่งขันเพื่อสะสมเหรียญทองโดยปราศจากมาตรฐานสากล ครั้งล่าสุดที่เวียดนาม (2021) และกัมพูชา (2023) เป็นเจ้าภาพ ภาพจำที่ติดตาคือการบรรจุกีฬาพื้นบ้านจำนวนมากเพื่อให้เจ้าภาพกวาดเหรียญทอง และการตัดสินที่ค้านสายตาซึ่งทำลายความน่าเชื่อถือของการแข่งขัน

ปี 2025 นี้ ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ครั้งที่ 33 ท่ามกลางความคาดหวังสูงว่าจะ "ยกระดับมาตรฐาน" ด้วยการลดกีฬาพื้นบ้านและเน้นกีฬาโอลิมปิก การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ประกาศจุดยืนที่ดูน่าชื่นชม แต่เบื้องหลังคำประกาศอันสวยหรูนั้น กลับปรากฏปัญหาโครงสร้างที่สะท้อนความล้มเหลวของระบบการกีฬาไทยในวงกว้าง บทความนี้จึงต้องการตั้งคำถามพื้นฐานสามประการที่สังคมไทยต้องหันมาเผชิญหน้า: หนึ่ง เราจัดซีเกมส์เพื่ออะไร? เพื่อเหรียญทอง เพื่อภาพลักษณ์ชาติ หรือเพื่อสร้างระบบกีฬาที่ยั่งยืนให้เยาวชนและชุมชน? สอง ประชาชน นักเรียน นักศึกษา มีส่วนร่วมอย่างไร? การจัดงานกีฬาระดับภูมิภาคควรสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนท้องถิ่นและเปิดพื้นที่ให้เยาวชนเข้าถึงกีฬาอย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงโชว์เคสเพื่อภาพลักษณ์? สาม นโยบายสีเขียวคือความจริงหรือการตลาด? Green SEA Games ที่ กกท. ประกาศเป็นพันธกิจจริงจังที่มีกลไกตรวจสอบ หรือเป็นเพียงโครงการเอาหน้าที่ผลาญงบประมาณโดยไม่มีสาระ?

จากโอลิมปิกนิยมสู่ความเป็นจริง: บทเรียนที่โลกให้ไว้

คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้พัฒนากรอบแนวคิด Olympic Agenda 2020+5 ซึ่งเน้นย้ำว่าการจัดการแข่งขันกีฬาไม่ใช่เหตุการณ์ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ต้องสร้าง "มรดก" (Legacy) ให้แก่เจ้าภาพ มรดกนี้แบ่งเป็นสองประเภท คือมรดกที่จับต้องได้ (Tangible Legacy) เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬาที่ใช้ประโยชน์ต่อได้หลังจบงาน ระบบขนส่งสาธารณะที่ปรับปรุง และพื้นที่สาธารณะที่ชุมชนเข้าถึงได้ และมรดกที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Legacy) เช่น การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสังคมต่อกีฬาและสุขภาพ ความภาคภูมิใจของชาติ และทักษะการจัดงานระดับสากลของบุคลากร ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมืองบาร์เซโลนา สเปน ที่ใช้โอลิมปิก 1992 เป็นโอกาสในการพัฒนาเมือง โดยให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการออกแบบพื้นที่สาธารณะ หลังจบงาน สนามกีฬาถูกเปลี่ยนเป็นโรงเรียนกีฬาและศูนย์กีฬาชุมชนที่ประชาชนเข้าถึงได้ฟรี จนกลายเป็นต้นแบบของ "Olympic Legacy" ที่ประสบความสำเร็จ เมืองบาร์เซโลนาไม่ได้โชว์ความยิ่งใหญ่ชั่วคราว แต่สร้างรากฐานการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน

ในทางตรงกันข้าม งานวิจัยของ Holger Preuss นักวิชาการชาวเยอรมัน ชี้ว่าประเทศกำลังพัฒนามักล้มเหลวในการสร้างมรดกเหล่านี้ เนื่องจากมุ่งเน้นความยิ่งใหญ่ในระยะสั้น แต่ละเลยการวางแผนระยะยาว ส่งผลให้สนามกีฬาถูกทิ้งร้างและงบประมาณกลายเป็นหนี้สาธารณะ กรณีศึกษาที่น่าสนใจคือโอลิมปิก Athens 2004 ที่ประเทศกรีซใช้งบประมาณมหาศาลสร้างสนามกีฬาที่หรูหรา แต่หลังจบงานกลับไม่สามารถบำรุงรักษาได้ สนามกีฬาหลายแห่งกลายเป็นซากปรักหักพัง และหนี้สาธารณะที่เกิดจากการจัดงานกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุของวิกฤตเศรษฐกิจกรีซในปี 2008 หรือกรณีโอลิมปิก Rio de Janeiro 2016 ที่บราซิลสร้างสนามกีฬาราคาแพงหลายแห่ง แต่หลังจบงานเพียง 2 ปี สนามเหล่านั้นกลายเป็นที่ร้าง ไม่มีใครใช้งาน เพราะไม่มีแผนการใช้ประโยชน์ระยะยาว บทเรียนเหล่านี้สอนเราว่า การจัดงานกีฬาขนาดใหญ่โดยไม่มีวิสัยทัศน์ระยะยาว ไม่เพียงสิ้นเปลืองเงินภาษีของประชาชน แต่ยังทิ้งภาระหนี้สินให้คนรุ่นหลังต้องแบกรับ

วิกฤตอัตลักษณ์: เราจัดซีเกมส์เพื่ออะไร?

คำถามที่สำคัญที่สุดที่ กกท. และสังคมไทยต้องตอบคือ เราจัดซีเกมส์เพื่ออะไร? หากคำตอบคือ "เพื่อโกยเหรียญทอง" แล้วมันแตกต่างจากการจัดการแข่งขันกีฬาภายในประเทศอย่างไร? การใช้งบประมาณหลายพันล้านบาทเพื่อสร้างความพอใจชั่วคราวจากการได้เหรียญทองมากที่สุด คุ้มค่าหรือไม่เมื่อเทียบกับการลงทุนในโครงการกีฬาฐานรากที่ช่วยเด็กและเยาวชนหลายแสนคน? การจัดซีเกมส์ในปัจจุบันติดกับดักของ "การแข่งขันเพื่อเหรียญทอง" มากกว่า "การพัฒนานักกีฬาและระบบกีฬาอย่างยั่งยืน" หลักฐานจากซีเกมส์ครั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าประเทศเจ้าภาพมักเพิ่มกีฬาพื้นบ้านที่ตนเองถนัดเพื่อกวาดเหรียญทอง ขณะที่กีฬาโอลิมปิกหลักกลับถูกละเลย ตัวอย่างเช่น ซีเกมส์ที่เวียดนาม 2021 มีการแข่งขันเปตอง (Pétanque) ซึ่งเป็นกีฬาที่เวียดนามมีความเชี่ยวชาญสูง และได้เหรียญทองเกือบทุกรุ่น หรือซีเกมส์ที่กัมพูชา 2023 ที่เพิ่มกีฬาโบราณเขมรหลายประเภท เพื่อให้กัมพูชาได้เปรียบในการคว้าเหรียญ การกระทำเหล่านี้แม้จะไม่ผิดกฎ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าซีเกมส์กำลังเสื่อมสู่การเป็นเพียงการแข่งขันเพื่อความภาคภูมิใจระดับชาติชั่วคราว ไม่ใช่การยกระดับมาตรฐานกีฬาของภูมิภาคอย่างแท้จริง

ในทางตรงกันข้าม หากเรามองซีเกมส์ผ่านเลนส์ของหลักการโอลิมปิกนิยม คำถามที่ควรถามคือ หลังจากซีเกมส์จบไปแล้ว เด็กและเยาวชนไทยจะได้รับประโยชน์อะไร? ชุมชนในกรุงเทพฯ ชลบุรี และสงขลาจะมีสนามกีฬาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นหรือไม่? หรือสนามกีฬาเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ไม่ได้หลังจบงาน? นักเรียนในโรงเรียนจะได้เรียนรู้คุณค่าของกีฬา ความเป็นมิตร ความเคารพ และความเป็นเลิศหรือไม่? หรือพวกเขาจะเห็นเพียงผู้ใหญ่ที่คลั่งไคล้เหรียญทองและพร้อมใช้วิธีการที่น่าสงสัยเพื่อให้ได้มา? ซีเกมส์ไทย 2025 อยู่ที่จุดเปลี่ยน หาก กกท. ยังคงมุ่งเน้นเพียงจำนวนเหรียญทอง การจัดงานครั้งนี้ก็จะเป็นเพียงการทำซ้ำความล้มเหลวของอดีต แต่หากเรากล้าเปลี่ยนกรอบความคิด มองซีเกมส์เป็นโอกาสในการสร้างมรดกให้คนรุ่นหลัง การจัดงานครั้งนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของการกีฬาไทยได้อย่างแท้จริง

วิกฤตการมีส่วนร่วม: เมื่อประชาชนเป็นเพียงผู้ชมเฉยๆ

การจัดซีเกมส์แบบ "Top-Down" ที่ กกท. เป็นผู้กำหนดทุกอย่างโดยปราศจากการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา และภาคประชาสังคม สะท้อนความล้มเหลวในการสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ (Ownership) งานวิจัยด้านการจัดการกีฬาสมัยใหม่ชี้ว่า การจัดงานกีฬาขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ต้องมี "การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน" (Participatory Governance) ไม่ใช่การตัดสินใจโดยราชการเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโอลิมปิก Tokyo 2020 (จัดในปี 2021 เนื่องจาก COVID-19) แม้จะมีปัญหาเรื่องการระบาดของโรค แต่ญี่ปุ่นยังคงเปิดโอกาสให้นักเรียนในโตเกียวเข้าร่วมโครงการ "Olympic Education Programme" เพื่อเรียนรู้คุณค่าของกีฬา ความเป็นมิตร ความเคารพ และความเป็นเลิศผ่านกิจกรรมในโรงเรียน นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับนักกีฬาจากประเทศต่างๆ ได้ฝึกกีฬาโอลิมปิก และที่สำคัญคือได้เข้าใจว่า "การชนะไม่ใช่ทุกอย่าง" แต่การเคารพคู่แข่งและการทำดีที่สุดของตนเองคือสิ่งที่มีค่าที่สุด

แล้วซีเกมส์ไทย 2025 ทำอะไรเพื่อเยาวชน? มีโครงการอาสาสมัครหรือไม่? หากมี เปิดโอกาสให้นักศึกษาทั่วไปเข้าถึงได้จริงหรือเป็นเพียงโควต้าสำหรับกลุ่มเฉพาะที่มีพรรคพวก? มีหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับซีเกมส์ในโรงเรียนหรือไม่? หรือนักเรียนจะรู้จักซีเกมส์เพียงจากข่าวทีวีที่พูดถึงจำนวนเหรียญทอง? ประชาชนในกรุงเทพฯ ชลบุรี และสงขลา ได้รับประโยชน์อะไรจากการเป็นเมืองเจ้าภาพนอกเหนือจากการจราจรติดขัดและต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้นชั่วคราว? คำถามเหล่านี้ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจาก กกท. ซึ่งสะท้อนว่าการจัดซีเกมส์ไทยยังคงเป็นโครงการของราชการ โดยราชการ เพื่อราชการ ไม่ใช่โครงการเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

ในต่างประเทศ การจัดงานกีฬาขนาดใหญ่มักมีการจัดตั้ง "Citizen Assembly" หรือคณะกรรมการประชาชน ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากชุมชนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬาสมัครเล่น และองค์กรพัฒนาเอกชน มีอำนาจในการตรวจสอบงบประมาณ เสนอแนะนโยบาย และติดตามการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น Commonwealth Games 2022 ที่เมือง Birmingham ประเทศอังกฤษ มีคณะกรรมการดังกล่าวที่ประชุมทุกเดือนและรายงานผลต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการจัดงานจริงๆ ไม่ใช่เพียงผู้ชมเฉยๆ แล้วทำไมไทยจึงทำไม่ได้? คำตอบอาจอยู่ที่วัฒนธรรมราชการแบบเก่าที่เชื่อว่า "ข้าราชการรู้ดีกว่าประชาชน" และไม่ต้องการให้ภายนอกเข้ามาตรวจสอบหรือวิพากษ์ แต่นี่คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยน หากเราต้องการให้ซีเกมส์เป็นมากกว่าเหตุการณ์กีฬาชั่วคราว

Green SEA Games: ความจริงหรือ Greenwashing?

หนึ่งในนโยบายที่ กกท. ประกาศอย่างภาคภูมิใจคือ "Green SEA Games" โดยอ้างว่าจะเป็นการจัดงานกีฬาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ฟังดูน่าชื่นชม แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียด กลับพบว่าขาดกลไกการวัดผลและการบังคับใช้ที่ชัดเจน คำว่า "Greenwashing" ถูกนิยามโดยนักวิชาการว่าเป็น "การประกาศนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอันสวยหรู แต่ในทางปฏิบัติขาดการดำเนินการจริงจัง เป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์เพื่อหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์" งานวิจัยของ McCullough, Orr และ Kellison ในปี 2020 เรื่อง Sport Ecology ได้ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาหลักของการจัดงานกีฬา "สีเขียว" คือการขาดระบบการติดตามและรายงานผล (Monitoring and Reporting) การขาดระบบนี้ทำให้เกิดช่องว่างสำหรับการพูดเกินจริง หรือที่เรียกว่า Greenwashing นั่นเอง

งานกีฬาที่เรียกว่า "สีเขียว" อย่างแท้จริงต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างที่วัดผลได้ชัดเจน ประการแรก ต้องมีการวัดและรายงานปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากการจัดงาน (Carbon Footprint Assessment) ซึ่งครอบคลุมทั้งการเดินทางของนักกีฬา ผู้ชม เจ้าหน้าที่ การใช้ไฟฟ้าในสนามกีฬาและโรงแรม และการจัดการขยะ ตัวอย่างเช่น โอลิมปิก Paris 2024 ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนครึ่งหนึ่งเทียบกับโอลิมปิก London 2012 และ Rio 2016 โดยใช้สนามกีฬาเก่า 95% และพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ มีการรายงาน Carbon Footprint แบบเปิดเผยก่อนการจัดงาน ระหว่างการจัดงาน และหลังการจัดงาน ทำให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่าคำมั่นสัญญาถูกทำจริงหรือไม่

แล้วซีเกมส์ไทย 2025 มีอะไร? คำตอบคือไม่มี กกท. ไม่เคยเปิดเผยข้อมูล Carbon Footprint ของซีเกมส์ครั้งที่ผ่านมาที่ไทยเป็นเจ้าภาพ (ครั้งล่าสุดคือปี 2007 และ 1995) จะเทียบว่าปี 2025 ลดได้จริงหรือไม่ได้อย่างไร? ประการที่สอง งานกีฬา "สีเขียว" ต้องมีระบบการจัดการขยะที่ครอบคลุม (Waste Management System) ซึ่งรวมถึงการแยกขยะในสนาม โรงแรม และพื้นที่จัดงานทั้งหมด พร้อมรายงานปริมาณขยะที่รีไซเคิลได้จริง Commonwealth Games 2022 ที่เมือง Birmingham มีรายงานว่าสามารถรีไซเคิลขยะได้ร้อยละ 85 และมีทีมงานตรวจสอบอิสระจากมหาวิทยาลัยมายืนยันตัวเลข แล้วซีเกมส์ไทยมีระบบนี้หรือไม่? จากข้อมูลที่เปิดเผย ปรากฏเพียงแผนจะมี "ถังขยะแยกประเภท" แต่ไม่มีรายละเอียดว่าจะมีเท่าไหร่ จะติดตั้งที่ไหนบ้าง และที่สำคัญคือจะมีระบบจัดการหลังแยกขยะอย่างไร? หรือจะเป็นเหมือนที่อื่นๆ ในเมืองไทยที่มีถังแยกขยะตั้งอยู่ แต่สุดท้ายขยะทั้งหมดก็ถูกรวมกันทิ้งที่เดียวกัน?

ประการที่สาม งานกีฬา "สีเขียว" ต้องมีระบบขนส่งที่ยั่งยืน (Sustainable Transportation) เช่น รถไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า หรืออย่างน้อยระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ แล้วซีเกมส์ไทยมีอะไร? แผนที่เปิดเผยคือการใช้รถโค้ชปรับอากาศสำหรับนักกีฬา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถดีเซล ไม่ใช่รถไฟฟ้า แล้วนี่เป็น "สีเขียว" อย่างไร? ประการที่สี่ สนามกีฬาที่สร้างใหม่ต้องได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว เช่น LEED หรือ TREES แต่จากข้อมูลปัจจุบัน ยังไม่ปรากฏว่าสนามกีฬาใดในโครงการซีเกมส์ไทยได้รับการรับรองดังกล่าว ประการที่ห้า ต้องมีนโยบายลดขยะอาหาร (Food Waste Reduction) และการบริจาคอาหารที่เหลือให้ชุมชน แต่ก็ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และประการสุดท้าย ต้องมีนโยบายห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในสนาม แต่ก็ยังไม่ปรากฏนโยบายที่ชัดเจน

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ กกท. ไม่มีการจ้างหน่วยงานอิสระมาตรวจสอบและรับรองว่าซีเกมส์ไทย 2025 เป็น "สีเขียว" จริง การประเมินทั้งหมดทำโดย กกท. เอง ซึ่งเป็นทั้งผู้เล่นและผู้ตัดสิน นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนของ Greenwashing ในระดับสากล งานกีฬา "สีเขียว" ที่จริงจังต้องขอการรับรองจากมาตรฐาน ISO 20121 (Sustainable Event Management System) หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานสิ่งแวดล้อมอิสระ แต่ซีเกมส์ไทยไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย มีเพียงการประชาสัมพันธ์ว่า "เป็นสีเขียว" โดยไม่มีหลักฐานรองรับ

งบประมาณกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ

ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นคือข้อมูลงบประมาณสำหรับ "โครงการสีเขียว" ของซีเกมส์ไทย จากรายงานที่ปรากฏ มีการตั้งงบประมาณหลักร้อยล้านบาทสำหรับโครงการนี้ แต่ไม่มีรายละเอียดว่าจะนำไปใช้อย่างไร หากพิจารณาจากประสบการณ์ของโครงการราชการอื่นๆ ในประเทศไทย งบประมาณดังกล่าวมักถูกใช้ไปกับ "การจ้างที่ปรึกษา" "การออกแบบโลโก้และป้ายรณรงค์" "การผลิตสื่อประชาสัมพันธ์" และ "การจัดสัมมนาและการประชุม" มากกว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นรูปธรรม ตัวอย่างที่เห็นชัดคือในหลายหน่วยงานรัฐมีโครงการ "Go Green" แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้คือป้ายรณรงค์สวยงามและเว็บไซต์ที่บอกว่า "เราเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ในการปฏิบัติงาน

นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "การผลาญงบประมาณ" เพราะเงินที่ควรจะนำไปสร้างระบบจัดการขยะที่ได้ผล ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ กลับถูกใช้ไปกับการทำประชาสัมพันธ์ว่า "เราเป็นสีเขียว" โดยไม่มีสาระ และที่สำคัญคือ หลังจบซีเกมส์แล้ว จะมีการรักษานโยบายสีเขียวต่อหรือไม่? สนามกีฬาจะใช้พลังงานทดแทนต่อไปหรือกลับไปใช้ไฟฟ้าปกติ? หรือทุกอย่างจะหยุดลงเมื่อกล้องสื่อมวลชนหันไปที่อื่น? คำถามเหล่านี้ยังไม่ได้รับคำตอบจาก กกท. ซึ่งยิ่งสร้างความสงสัยว่านโยบาย Green SEA Games เป็นเพียง Greenwashing ที่แท้จริง

การเปรียบเทียบกับงานวิจัยในอดีตยิ่งสนับสนุนข้อสงสัยนี้ Timothy Kellison และคณะได้ศึกษาเรื่อง Environmental Justice ในสนามกีฬา (Sport Stadiums and Environmental Justice, 2022) พบว่า สนามกีฬาขนาดใหญ่มักสร้างผลกระทบเชิงลบต่อชุมชนรอบข้าง เช่น มลพิษทางอากาศจากการจราจร มลพิษทางน้ำจากน้ำทิ้ง และเสียงรบกวน แต่ผลกระทบเหล่านี้มักเกิดกับชุมชนที่ยากจนและไม่มีเสียงในการต่อรอง นี่คือความอยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Injustice) ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วซีเกมส์ไทยมีแผนรับมืออย่างไร? มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment) ที่ครอบคลุมจริงหรือไม่? หรือเป็นเพียงเอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อผ่านพิธีการ?

ทางออก: จากคำพูดสู่การกระทำ

หากเราต้องการให้ซีเกมส์ 2025 เป็นมากกว่าเหตุการณ์กีฬาชั่วคราว กกท. และรัฐบาลต้องกล้าทำการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ประการแรก ต้องเปิดเผยข้อมูลงบประมาณและแผนการดำเนินงานอย่างโปร่งใส สร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ประชาชนสามารถติดตามการใช้จ่ายงบประมาณได้ทุกรายการแบบ Real-time มีการตรวจสอบโดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และเปิดให้ประชาชนร้องเรียนได้ ตัวอย่างที่ดีคือเมือง Birmingham ที่จัด Commonwealth Games 2022 มีเว็บไซต์ที่อัปเดตการใช้จ่ายงบประมาณทุกเดือน ทำให้ประชาชนรู้ว่าเงินภาษีของพวกเขาถูกใช้ไปที่ไหนบ้าง ทำไมไทยจึงทำไม่ได้? นี่ไม่ใช่เทคโนโลยีที่ยาก แต่เป็นเรื่องของ "ความตั้งใจทางการเมือง" ที่จะให้ประชาชนมีอำนาจตรวจสอบ

ประการที่สอง ต้องสร้างกลไกให้ประชาชน นักเรียน นักศึกษา มีส่วนร่วมจริง จัดตั้ง "SEA Games Citizen Assembly" ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากชุมชนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา นักกีฬาสมัครเล่น และองค์กรพัฒนาเอกชน มีอำนาจในการตรวจสอบงบประมาณ เสนอแนะนโยบาย และติดตามการดำเนินงาน รายงานผลต่อสาธารณะอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ ควรมีโครงการ "SEA Games for Schools" ที่บูรณาการซีเกมส์เข้าในหลักสูตรพลศึกษาและสังคมศึกษา ให้นักเรียนทุกระดับชั้นได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติและค่านิยมของซีเกมส์ การเคารพคู่แข่งและความเป็นมิตร และความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จัดโครงการแข่งขันกีฬาระดับโรงเรียนในรูปแบบ "Mini SEA Games" เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงาน

ประการที่สาม หากยืนยันว่าเป็น "Green SEA Games" จริง ต้องยื่นขอการรับรองมาตรฐาน ISO 20121 จากหน่วยงานอิสระและเปิดเผยรายงาน Carbon Footprint พร้อมแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อสาธารณะ จัดตั้ง "Green Monitor Committee" ที่ประกอบด้วยนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อตรวจสอบว่านโยบายสีเขียวถูกนำไปปฏิบัติจริงหรือไม่ รายงานผลต่อสาธารณะทุกเดือนจนถึงหลังจบงาน 6 เดือน หากทำไม่ได้ ก็อย่าอ้างว่าเป็น "Green SEA Games" เพราะนั่นคือการหลอกลวงประชาชนและนานาชาติ

ประการที่สี่ ต้องวางแผนการใช้ประโยชน์สนามกีฬาหลังจบงานให้ชัดเจน ทุกสนามกีฬาที่สร้างใหม่ต้องมีแผนว่าจะเปิดให้โรงเรียน ชุมชน และสโมสรกีฬาเข้าใช้งานฟรีหรือในราคาที่เข้าถึงได้อย่างไร พิจารณาจัดตั้ง "SEA Games Sports Academy" สำหรับเยาวชนในพื้นที่ เพื่อให้สนามกีฬาเหล่านั้นกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนานักกีฬารุ่นใหม่ ไม่ใช่ซากปรักหักพังที่ไร้ประโยชน์ และประการสุดท้าย ต้องลงทุนกับ "ความเป็นธรรม" ด้วยการจ้างผู้ตัดสินจากนอกภูมิภาคอาเซียนในกีฬาที่ใช้ดุลยพินิจ เช่น มวย ยิมนาสติก กระโดดน้ำ ใช้เทคโนโลยี VAR และ AI-assisted judging เพื่อลดอคติ การลงทุนด้านนี้จะซื้อ "ศรัทธา" และ "ภาพลักษณ์ระยะยาว" ให้กับประเทศไทย ซึ่งมีค่ามากกว่าเหรียญทองที่ได้มาด้วยวิธีที่น่าสงสัย

บทสรุป: จุดเปลี่ยนหรือโอกาสที่พลาดไป?

ซีเกมส์ 2025 คือบททดสอบของไทยว่าเราพร้อมที่จะเป็น "เจ้าภาพระดับสากล" หรือจะยังคงเป็น "เจ้าภาพตามมีตามเกิด" ที่ทิ้งสนามกีฬาร้างและหนี้สาธารณะไว้ให้คนรุ่นหลัง ความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่จำนวนเหรียญทอง แต่อยู่ที่คุณภาพของการจัดงาน ความโปร่งใส การมีส่วนร่วมของประชาชน และมรดกที่ทิ้งไว้ให้เยาวชนและชุมชน หากเรายังคงมุ่งเน้นเพียงเหรียญทอง ยังคงใช้งบประมาณแบบไม่โปร่งใส และยังคงอ้างว่า "เป็นสีเขียว" โดยไม่มีหลักฐาน ซีเกมส์ครั้งนี้ก็จะเป็นเพียงอีกหนึ่งความล้มเหลวที่เราต้องอับอายต่อหน้าชาวโลก

แต่หากเรากล้าเปลี่ยนแปลง กล้าให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม กล้าเปิดเผยข้อมูล และกล้าพิสูจน์ว่านโยบายสีเขียวเป็นจริงด้วยมาตรฐานสากล ซีเกมส์ 2025 อาจกลายเป็น "จุดเปลี่ยนของการกีฬาไทย" ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนหลายแสนคน สร้างมรดกกีฬาที่ใช้ประโยชน์ได้จริงให้ชุมชนท้องถิ่น และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ประเทศไทยในฐานะประเทศที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การตัดสินใจอยู่ที่ กกท. และเราทุกคนในฐานะพลเมือง เวลาไม่รอ และโอกาสนี้จะไม่มาอีกในไม่ช้า


บรรณานุกรม

International Olympic Committee. (2021). Olympic Agenda 2020+5: 15 Recommendations. Retrieved from https://olympics.com/

McCullough, B. P., Orr, M., & Kellison, T. (2020). Sport ecology: Conceptualizing an emerging subdiscipline within sport management. Journal of Sport Management, 34(6), 509-520.

Kellison, T. B., & Kim, Y. K. (2014). Marketing pro-environmental venues in professional sport: Planting seeds of change among existing and prospective consumers. Journal of Sport Management, 28(2), 157-176.

Kellison, T. (Ed.). (2022). Sport Stadiums and Environmental Justice. Routledge.

McCullough, B. P., & Kellison, T. (Eds.). (2018). Routledge Handbook of Sport and the Environment. Routledge.

Preuss, H. (2019). Event legacy framework and measurement. International Journal of Sport Policy and Politics, 11(1), 103-118.

Chappelet, J. L., & Parent, M. M. (2020). The Governance of Major Sports Events. Routledge.


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แยกทางอิชิอิ: ปัญหาเชิงโครงสร้างของฟุตบอลไทยที่ใครไม่เข้าใจ ?

Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

จากวีรบุรุษสู่คนชายขอบของสังคมไทย: บทเรียนสังคมวิทยาการกีฬาจากอำนาจ รื่นเริง