จิตวิญญาณครูในฐานะกลไกสังคม: การถอดรหัสปรัชญาโอลิมปิกผ่าน อ.สกล เกลี้ยงประเสริฐ
เมื่อ "การกีฬา" กลายเป็น "พื้นที่แห่งการสร้างคน"
ในแง่มุมของสังคมวิทยาการกีฬาร่วมสมัย ประเด็นที่ว่ากีฬาควรทำหน้าที่เป็นเพียง "กิจกรรมแข่งขัน" เพื่อการบันเทิงและความเป็นเลิศหรือควรเป็น "เครื่องมือทางสังคม" เพื่อการพัฒนามนุษย์อย่างองค์รวม ยังคงเป็นข้อถกเถียงที่ไม่มีวันจบสิ้น ในขณะที่งานวิจัยสาขา Youth Development ตั้งแต่ยุค Larson และ Walker (1,2) จนถึง Holt et al. (3) ได้พยายามสถาปนากีฬาในฐานะ "developmental context" หรือบริบทแห่งการพัฒนาเยาวชน แต่ช่องว่างระหว่าง "ทฤษฎี" กับ "ปฏิบัติการณ์จริง" ยังคงกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยความคลุมเครือ บทความนี้จึงนำเสนอกรณีศึกษาของอาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ ครูพลศึกษาชาวไทย เพื่อแสดงให้เห็นว่า "จิตวิญญาณของครู" สามารถทำหน้าที่เป็น "กลไกสังคม" (social mechanism) ที่แปรเปลี่ยนกีฬาจาก "สถาบันแห่งการแข่งขัน" ไปสู่ "สถาบันแห่งการสร้างคน" ได้อย่างไร และสำคัญกว่านั้น คือการที่ปรัชญาการทำงานส่วนบุคคลของครูผู้หนึ่ง กลับสะท้อนและบูรณาการปรัชญาโอลิมปิกสากล (Olympism) ได้อย่างสมบูรณ์
ภูมิทัศน์ทางทฤษฎี: จากโอลิมปิกสู่การพัฒนาเยาวชนผ่านกีฬา
ก่อนที่จะเข้าสู่การวิเคราะห์กรณีศึกษา จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจว่าปรัชญา "Olympism" ในฐานะอุดมการณ์ทางสังคม มีความสัมพันธ์อย่างไรกับกรอบแนวคิดทาง Youth Development ที่ครอบงำวงการวิชาการในศตวรรษที่ 21 นี้ ตามคำนิยามของ International Olympic Committee (IOC) ปรัชญาโอลิมปิกคือ "philosophy of life" ที่มุ่งหลอมรวม "ร่างกาย เจตจำนง และจิตใจ" ให้เป็นหนึ่งเดียวอย่างสมดุล โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ "การวางกีฬาไว้ในบริการของการพัฒนาอย่างกลมกลืนของมนุษยชาติ" และ "การธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" (4,5) นี่ไม่ใช่แค่คำกล่าวอ้างทางอุดมการณ์ แต่เป็นจุดยืนทางสังคมวิทยาที่ชัดเจน: กีฬาต้องเป็นเครื่องมือเพื่อมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์เป็นเครื่องมือเพื่อกีฬา เพราะตอนที่ผู้เขียนเรียนอยู่ที่ภาควิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ครูบาอาจารย์ ท่านได้ ตั้งปรัชญาของภาควิชาไว้ว่า กีฬาพัฒนามนุษย์ จริงๆ และเชื่อไหมว่ามันก็สามารถพัฒนามนุษย์ได้จริงๆ
แนวคิดนี้สอดคล้องอย่างน่าทึ่งกับกระบวนทัศน์ของ Positive Youth Development (PYD) ที่ Lerner et al. (6) พัฒนาขึ้น ซึ่งเน้นว่าการพัฒนาเยาวชนที่แท้จริงต้องมุ่งเน้น "5 Cs" คือ Competence, Confidence, Connection, Character และ Caring มากกว่าการมุ่งเน้นเพียงผลลัพธ์ทางกีฬา ในทำนองเดียวกัน ปรัชญาโอลิมปิกได้ถ่ายทอดอุดมการณ์นี้ผ่าน "เสาหลัก 3 ประการ" คือ Excellence (ความเป็นเลิศ), Friendship (มิตรภาพ) และ Respect (การเคารพ) (5,7) ซึ่งหากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน เราจะพบว่า Excellence ไม่ได้หมายถึงการเป็นที่หนึ่ง แต่หมายถึง "การเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเอง" ซึ่งตรงกับแนวคิด "mastery orientation" ของ Duda และ Nicholls (8) ที่เน้นการพัฒนาตนเองมากกว่าการเอาชนะผู้อื่น
ขณะเดียวกัน กรอบแนวคิด Long-Term Athlete Development (LTAD) ของ Balyi และ Hamilton (9) ได้เสนอว่าการพัฒนานักกีฬาไม่ควรเป็นกระบวนการ "การคัดเลือก" (selection) แต่ควรเป็นกระบวนการ "การพัฒนา" (development) ที่ต่อเนื่องและคำนึงถึงมิติทางสังคม จิตใจ และความเป็นมนุษย์ควบคู่ไปกับทักษะทางกีฬา อย่างไรก็ตาม ช่องว่างที่สำคัญที่สุดของทฤษฎีเหล่านี้ คือคำถามว่า "กลไก" ใดบ้างที่ทำให้ทฤษฎีกลายเป็นปฏิบัติการณ์ได้จริง งานวิจัยของ Côté และ Gilbert (10) เกี่ยวกับ "effective coaching" เริ่มชี้ให้เห็นว่า "ตัวครู" หรือ "โค้ช" เป็นตัวแปรสำคัญ แต่ยังไม่มีการศึกษาเชิงลึกว่า "จิตวิญญาณ" หรือ "ปรัชญาชีวิต" ของครูส่งผลต่อกระบวนการนี้อย่างไร
กรณีศึกษา: อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ
อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ เป็นครูพลศึกษาชาวไทยที่มีภูมิหลังทางวิชาชีพครูอย่างชัดเจน โดยสำเร็จการศึกษาเอกพลศึกษา จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สิ่งที่น่าสนใจในเบื้องต้นคือข้อเท็จจริงที่ว่า หลังสำเร็จการศึกษา ท่านไม่ได้เริ่มต้นอาชีพครูทันที ก่อนจะตัดสินใจ "กลับมา" สู่อาชีพครูพลศึกษาตามความฝัน (11) จากมุมมองของสังคมวิทยาอาชีพ (sociology of professions) การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวคิด "vocation" หรืออาชีพแห่งจิตวิญญาณ มากกว่า "occupation" หรืออาชีพเพื่อการดำรงชีพ ตามที่ Max Weber (12) เคยแยกแยะไว้ นี่คือสัญญาณแรกที่บ่งชี้ว่า สำหรับอาจารย์สกลแล้ว การเป็นครูพลศึกษาไม่ใช่แค่งาน แต่คือ "พันธกิจ" (mission) หรือการอุทิศตนเพื่อเป้าหมายที่สูงกว่า
การที่อาจารย์สกลสามารถสร้างความสำเร็จได้ในทั้งสองบริบทที่มีทรัพยากรต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือหลักฐานที่สำคัญในทางสังคมวิทยาที่พิสูจน์ว่า "ทุน" (capital) ทางวัตถุไม่ใช่ตัวแปรเดียวที่กำหนดผลลัพธ์ แต่ "ทุนทางสังคม" (social capital) และ "ทุนทางวัฒนธรรม" (cultural capital) ในรูปของปรัชญาและจิตวิญญาณของครู ตามแนวคิดของ Bourdieu (16) มีอำนาจในการแปรเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ สัญลักษณ์ที่ทรงพลังที่สุดที่สะท้อนปรัชญานี้ คือภาพที่ท่านขับ "รถบรรทุกเล็ก 4 ล้อ" พานักเรียนไปแข่งขัน ในโลกของฟุตบอลสมัยใหม่ที่มักยึดติดกับวัตถุนิยม ภาพ "รถบรรทุกขนฝัน" นี้คือ "อุปมานิทัศน์" (metaphor) ทางสังคมที่ทรงพลัง มันคือการประกาศว่า "คุณค่า" ไม่ได้อยู่ที่วัตถุภายนอก แต่อยู่ที่ "มนุษย์" และ "ความฝัน" ที่อยู่ภายใน นี่คือการต่อต้านวัตถุนิยมที่แฝงอยู่ในกีฬาสมัยใหม่อย่างเงียบๆ แต่ทรงพลัง
ปรัชญา "สร้างคน ไม่ใช่สร้างนักเตะ": การวิเคราะห์เชิงสังคมวิทยา
เมื่อวิเคราะห์คำกล่าวและการกระทำของอาจารย์สกล เราจะพบว่าท่านมีปรัชญาแกนกลางที่ชัดเจน นั่นคือ "สร้างคน ไม่ใช่สร้างแค่นักเตะ" ท่านเน้นย้ำว่า "เขาไม่ได้สร้างแค่นักเตะฝีเท้าดี แต่สร้าง 'คน' ให้พร้อมใช้ชีวิตในสนามและนอกสนาม" และ "คน" ในอุดมคติของท่าน ต้องมี "ระเบียบวินัยในชีวิต", "ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อสังคม" และ "ใส่ใจในการเรียน" ท่านกล่าวว่า "การเป็นนักฟุตบอลที่ดี ต้องมีความดีติดตัวไปด้วย" (14) นี่คือการพัฒนาแบบองค์รวม (holistic development) ที่สอดคล้องโดยตรงกับ Olympism ที่ต้องการพัฒนามนุษย์อย่างกลมกลืนทั้ง "ร่างกาย เจตจำนง และจิตใจ"
จากมุมมองของสังคมวิทยาการศึกษา ปรัชญานี้สะท้อนความเข้าใจเชิงลึกถึงบทบาทของกีฬาในฐานะ "สถาบันทางสังคม" (social institution) ที่ควรทำหน้าที่ในการ "การขัดเกลาทางสังคม" (socialization) ไม่ใช่เพียง "การผลิตนักกีฬา" (athlete production) เท่านั้น งานวิจัยของ Fraser-Thomas และ Côté (17) เกี่ยวกับ youth sport programs ที่ประสบความสำเร็จพบว่า โปรแกรมที่ดีต้องสร้างสมดุลระหว่าง "performance goals" กับ "developmental goals" ซึ่งตรงกับสิ่งที่อาจารย์สกลปฏิบัติอย่างสัญชาตญาณ
กลไกสำคัญที่ท่านใช้ในการ "สร้างคน" คือการก้าวข้ามบทบาท "โค้ช" ไปสู่การเป็น "พ่อ" (father figure) แม้ภายนอกท่านอาจดูเคร่งขรึม แต่ภายในท่าน "รักลูกศิษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียม" ท่านตระหนักว่านักเรียนหลายคนมาจากภูมิหลังที่เปราะบาง โดยกล่าวว่า "เด็กบางคนที่มาก็มีครอบครัวไม่สมบูรณ์ เขาก็เลยเอาเราเป็นพ่อ" ท่านจึงทำหน้าที่ "ทดแทนสถาบันครอบครัว" ที่ขาดหายไป และดูแลความต้องการพื้นฐาน เช่น "บางทีไม่มีเงินกินข้าว เราก็ให้ เพื่อให้เขาอิ่มท้อง" (15)
จากมุมมองของสังคมวิทยาครอบครัวและการศึกษา การกระทำนี้สะท้อนความเข้าใจเชิงลึกถึงทฤษฎี "hierarchy of needs" ของ Maslow (18) ว่าการเรียนรู้ขั้นสูงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากความต้องการพื้นฐาน (physiological และ safety needs) ยังไม่ได้รับการตอบสนอง การสร้าง "ความปลอดภัยทางจิตใจ" (psychological safety) และ "ทุนทางอารมณ์" (emotional capital) ให้แก่นักเรียนจึงเป็นรากฐานสำคัญที่ครูผู้มีจิตวิญญาณต้องสร้างขึ้น ผลลัพธ์คือทีมที่ "อยู่กันเหมือนครอบครัว" (15) ซึ่งในทางสังคมวิทยาคือการสร้าง "ชุมชนแห่งการปฏิบัติ" (community of practice) ตามแนวคิดของ Wenger (19) ที่สมาชิกมีความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน (shared ownership) และพันธะทางอารมณ์ (emotional bonding) ที่ลึกซึ้ง
ปรัชญา "เศษแก้ว": การต่อต้านตรรกะตลาดในกีฬา
กลไกที่สองที่สะท้อนปรัชญาของท่านอย่างแหลมคม คืออุปมานิทัศน์ "เศษแก้ว" ท่านกล่าวว่า "เด็กบางคนก็เคยไปคัดทีมที่อื่นแต่ไม่ผ่าน เราก็รับเขาเข้ามา... มันเหมือนเราเอาเศษแก้วที่มันแตก ๆ มาหลอมเป็นแก้วใบใหม่" นี่คือปรัชญาการศึกษาที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และเป็นการต่อต้านกระบวนทัศน์แบบทุนนิยม (capitalist paradigm) ที่ครอบงำกีฬาสมัยใหม่อย่างเงียบๆ
ในขณะที่ระบบอคาเดมี่ฟุตบอลสมัยใหม่จำนวนมากใช้ "ตรรกะแบบตลาด" (market logic) ที่มุ่งเน้น "กระบวนการคัดออก" (exclusion) หรือ "talent identification" เพื่อเฟ้นหา "เพชร" หรือผู้ที่มีพรสวรรค์อยู่แล้ว อาจารย์สกลกลับใช้ "ตรรกะแบบการศึกษา" (educational logic) ที่มุ่งเน้น "กระบวนการหลอมรวม" (inclusion) เพื่อ "สร้างคุณค่า" (value creation) ให้กับผู้ที่ระบบอื่นตีตราว่าเป็น "ผู้ถูกปฏิเสธ" นี่คือการยืนยันในความเชื่อทางการศึกษาที่ว่า "มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาได้" ซึ่งตรงข้ามกับ "talent determinism" หรือความเชื่อที่ว่าความสำเร็จถูกกำหนดโดยพรสวรรค์แต่กำเนิด
งานวิจัยของ Bailey และ Morley เกี่ยวกับ "talent development" ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ระบบ "early selection" หรือการคัดเลือกตั้งแต่อายุน้อย มักจะสร้างปัญหา "false negatives" คือการตัดผู้ที่มีศักยภาพออกไปเพราะยังไม่พร้อมในตอนนั้น และสร้าง "psychological harm" แก่เด็กที่ถูกปฏิเสธ กระบวนการที่เด็กคนหนึ่ง "ไปคัดทีมที่อื่นแต่ไม่ผ่าน" คือการที่ "ระบบ" ได้ประเมินและตีตราว่า "คุณค่า" ของเขา "ไม่ดีพอ" การปฏิเสธนี้ในทางสังคมวิทยาคือการโจมตีโดยตรงต่อ "ศักดิ์ศรี" (dignity) และ "อัตลักษณ์" (identity) ของเด็กคนนั้น (20)
ปรัชญา "เศษแก้ว" ของอาจารย์สกล ที่เจาะจงรับเด็กเหล่านี้เข้ามา "หลอมใหม่" จึงไม่ใช่แค่การให้โอกาส แต่เป็นการต่อต้าน "symbolic violence" (ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์) ตามแนวคิดของ Bourdieu (16) ที่ระบบทุนนิยมใช้ในการจำแนกและจัดชั้นมนุษย์ตามมาตรฐานแบบเดียว ท่านกำลังใช้กีฬาเป็นเครื่องมือในการ "ฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" (restoring human dignity) ให้กับผู้ที่ถูกปฏิเสธ และ "ยืนยัน" คุณค่าที่แท้จริงในตัวเด็กทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะถูกมองว่าเป็น "เพชร" หรือ "เศษแก้ว" ก็ตาม นี่คือการปฏิบัติของ "social justice" ในสนามกีฬา
การสังเคราะห์: จิตวิญญาณครูในฐานะ "implicit Olympism"
เมื่อนำ "กรอบทฤษฎี" ของปรัชญาโอลิมปิกมาวิเคราะห์ "การปฏิบัติ" ของอาจารย์สกล เราจะพบการบูรณาการที่น่าทึ่งระหว่างทฤษฎีกับปฏิบัติการณ์ โดยที่ท่านไม่เคยได้รับการอบรมเรื่อง "โอลิมปิกศึกษา" อย่างเป็นทางการเลย สำหรับ "Excellence" (ความเป็นเลิศ) ในขณะที่สาธารณชนมองว่าความเป็นเลิศของท่าน คือการคว้าแชมป์ 3 สมัย แต่ปรัชญาโอลิมปิกนิยาม "Excellence" ที่ลึกกว่านั้น คือการมุ่งมั่นทำในสิ่งที่ดีที่สุดโดย "ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์" แต่เน้นการพัฒนาศักยภาพตนเอง ท่านระบุชัดเจนว่า "ความสุขไม่ใช่จำนวนถ้วยแชมป์" แต่ "ความเป็นเลิศ" ในแบบของท่าน คือ "ผลงานสูงสุด" ในการ "สร้างคน" ให้มี "คุณค่าในชีวิต" (15) การที่ท่านทำงานกับโรงเรียนระดับตำบล ที่ต้อง "สร้างทุกอย่างใหม่ตั้งแต่ศูนย์" (14) และพาทีมนั้นไปถึงจุดสูงสุด คือการสาธิต "ความเป็นเลิศ" ในการพัฒนาศักยภาพมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
สำหรับ "Friendship" (มิตรภาพ) ปรัชญาโอลิมปิกพูดถึง "มิตรภาพ" และ "ความสามัคคี" ในฐานะเครื่องมือสร้าง "สังคมสันติสุข" (5,7) ซึ่งเป็นแนวคิดระดับมหภาค สิ่งที่อาจารย์สกลทำ คือการ "ย่อส่วน" อุดมการณ์สากลนี้ลงมาสู่ระดับจุลภาคคือ "ทีม" ท่านไม่ได้ "สอน" ให้นักเรียนเป็นเพื่อนกัน แต่ท่าน "สร้าง" สภาวะแวดล้อมที่มิตรภาพและความสามัคคีเติบโตได้อย่างยั่งยืน ด้วยการรับบท "พ่อ" และหลอมรวมเด็กให้ "อยู่กันเหมือนครอบครัว" (15) ในบริบทนี้ "มิตรภาพ" ถูกยกระดับให้กลายเป็น "ภราดรภาพ" (brotherhood) หรือ "ครอบครัว" (family) ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยั่งยืนยิ่งกว่าเพื่อนร่วมทีม
ที่สำคัญที่สุดคือ "Respect" (การเคารพ) เป้าหมายสูงสุดของ "การเคารพ" ในปรัชญาโอลิมปิก คือ "การธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" (preservation of human dignity) (4,5) และนี่คือจุดที่ปรัชญา "เศษแก้ว" ของอาจารย์สกลสะท้อนแก่นแท้ของ Olympism ได้อย่างทรงพลังที่สุด การที่ท่านเจาะจงรับเด็กที่ "ไปคัดทีมที่อื่นแต่ไม่ผ่าน" เข้ามา "หลอมใหม่" ไม่ใช่แค่การให้โอกาส แต่เป็น "การฟื้นฟูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ให้กับผู้ที่ถูกปฏิเสธ ท่านกำลังใช้กีฬาเป็นเครื่องมือในการ "ปฏิเสธ" การประเมินค่าอันโหดร้ายของระบบเดิม และ "ยืนยัน" คุณค่าที่แท้จริงในตัวเด็กทุกคน ท่านสอน "การเคารพ" ไม่ใช่ด้วยการบอกให้นักเรียนเคารพกติกา แต่ด้วยการ "แสดง" ความเคารพต่อ "คุณค่า" และ "ศักดิ์ศรี" ของเด็กทุกคนอย่างไม่มีเงื่อนไข (7,14,15)
จิตวิญญาณในฐานะหลักสูตร: การปฏิบัติการณ์ของ Implicit Pedagogy
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดจากมุมมองทางสังคมวิทยาการศึกษา คือข้อเท็จจริงที่ว่า อาจารย์สกลไม่เคยใช้ "หลักสูตรโอลิมปิกศึกษา" อย่างเป็นทางการ แต่กลับสามารถถ่ายทอดปรัชญาโอลิมปิกได้อย่างสมบูรณ์ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "implicit pedagogy" หรือ "การสอนโดยนัย" ท่าน "ฝึกฝนด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่พื้นฐานการเล่น เทคนิค การวางตัว ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน" คำว่า "การใช้ชีวิตประจำวัน" นี้คือ "หลักสูตร" ที่แท้จริงของท่าน ท่านใช้ "ชีวิต" เป็นห้องเรียนในการปลูกฝังคุณธรรม ผ่านการใช้ชีวิตร่วมกันใน "ครอบครัว" ไม่ใช่การท่องจำจากตำรา
จากมุมมองของทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (social learning theory) ของ Bandura (21) การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดเกิดจาก "modeling" หรือการสังเกตและเลียนแบบ ไม่ใช่จากการบรรยาย นักเรียนเรียนรู้คุณค่าต่างๆ ผ่าน "การซึมซับ" (osmosis) จากตัวตนของครู ไม่ใช่จากการบอกกล่าว สิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้คือ ความรักและความเท่าเทียมจากการที่ท่านดูแล "เหมือนพ่อ", การอุทิศตนจากการที่ท่านยังคงทำงานในวัยเกษียณ (11), ความเชื่อในศักยภาพมนุษย์จากปรัชญา "เศษแก้ว" , และการไม่ยึดติดกับวัตถุจากสัญลักษณ์ "รถบรรทุก" (13) นี่คือรูปแบบการสอน "โอลิมปิกศึกษา" ที่ทรงพลังที่สุด เพราะเป็นการ "เป็นให้ดู" (modeling) ไม่ใช่แค่ "บอกให้ทำ" (instructing)
นัยยะทางสังคมวิทยาและข้อเสนอเชิงนโยบาย
การศึกษากรณีของอาจารย์สกลนำไปสู่ข้อสรุปทางสังคมวิทยาที่สำคัญหลายประการ ประการแรก "จิตวิญญาณของครู" คือ "ตัวแปรที่สำคัญที่สุด" ในการยกระดับ "กีฬา" จาก "กิจกรรม" ให้กลายเป็น "เครื่องมือ" เพื่อการพัฒนามนุษย์อย่างแท้จริงตามอุดมการณ์โอลิมปิก อาจารย์สกลคือ "ผู้ใช้ปรัชญาโอลิมปิกโดยสัญชาตญาณ" (intuitive Olympist) ที่ปรัชญาชีวิตส่วนตัวของท่านสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับปรัชญาสากลของโอลิมปิก
ประการที่สอง ช่องว่างระหว่าง "ทฤษฎี" กับ "ปฏิบัติ" ในงานวิจัยด้าน Youth Development (1-3,6) และ LTAD (9) สามารถเชื่อมโยงได้ผ่าน "กลไกทางสังคม" (social mechanism) ที่เรียกว่า "จิตวิญญาณครู" ซึ่งทำหน้าที่แปรเปลี่ยนทฤษฎีให้กลายเป็นปฏิบัติการณ์ ประการที่สาม การที่อาจารย์สกลสามารถปฏิบัติปรัชญาโอลิมปิกได้โดยไม่ต้องผ่านหลักสูตรทางการ แสดงให้เห็นว่า "Olympic Education" ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียง "formal curriculum" เท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ผ่าน "hidden curriculum" หรือ "implicit pedagogy" ที่ฝังอยู่ในตัวตนและการกระทำของครู นี่เป็นข้อค้นพบที่สำคัญซึ่งท้าทายกระบวนทัศน์แบบเดิมที่มักเน้นเฉพาะหลักสูตรทางการ
จากมุมมองเชิงนโยบาย หากเราต้องการ "สร้าง" หรือ "บ่มเพาะ" ครูที่มีจิตวิญญาณเช่นนี้ในอนาคต สถาบันผลิตครูพลศึกษาต้องทบทวนหลักสูตร (22) โดยต้องไม่มุ่งเน้นเพียง "ทักษะกีฬา" และ "ทักษะการสอน" เท่านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มการพัฒนา "มิติอภิบาล" (pastoral dimension) หรือทักษะการดูแลและเข้าใจนักเรียนอย่างลึกซึ้ง และ "มิติปรัชญา" (philosophical dimension) หรือการสร้างความชัดเจนใน "ปรัชญาการเป็นครู" ของตนเอง เข้าไปในหลักสูตร (23) นโยบายต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก "การผลิตครู" (teacher production) ไปสู่ "การบ่มเพาะจิตวิญญาณครู" (teacher spirit incubation)
นอกจากนี้ บทบาทขององค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย หรือสถาบันวิทยาการโอลิมปิคไทย (7) ไม่ควรจำกัดอยู่เพียงการจัดอบรมหลักสูตรทางการ แต่ควรหันมาศึกษา "ผู้ปฏิบัติงาน" (practitioners) อย่างอาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ เพื่อถอดบทเรียนภาคปฏิบัติ (best practices) เหล่านี้ไปขยายผลในวงกว้าง (24)
บทสรุป: รถบรรทุกขนฝันและอนาคตของกีฬาเพื่อมนุษย์
ในยุคที่กีฬาสมัยใหม่ถูกครอบงำด้วย "ตรรกะตลาด" และ "วัตถุนิยม" อย่างหนักหน่วง กรณีศึกษาของอาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ เป็นเสมือน "ประภาคาร" ที่ส่องทางให้เห็นว่า ยังมีทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ นั่นคือการยกระดับกีฬาให้กลับไปสู่พันธกิจดั้งเดิม คือการเป็น "เครื่องมือเพื่อการพัฒนามนุษย์" ตามแนวคิดของปรัชญาโอลิมปิกอย่างแท้จริง (4,5) ภาพ "รถบรรทุกขนฝัน" (13) ไม่ใช่แค่เรื่องราวที่น่าประทับใจ แต่เป็น "อุปมานิทัศน์" ทางสังคมที่ทรงพลัง มันคือการประกาศว่า "คุณค่า" ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เปลือกนอกหรือวัตถุ แต่อยู่ที่ "มนุษย์" และ "ศักดิ์ศรี" ที่อยู่ภายใน
จากมุมมองของสังคมวิทยาการกีฬา กรณีศึกษานี้ยืนยันว่า แม้ในโลกที่ทุนนิยมและวัตถุนิยมจะครอบงำ "agency" หรือความสามารถของมนุษย์ในการเลือกและกระทำ (25) ยังคงมีพลังที่สามารถต่อต้านและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้ "จิตวิญญาณครู" คือ "กลไกทางสังคม" ที่ทรงพลังที่สุดในการแปรเปลี่ยนกีฬาจาก "สินค้า" ให้กลับไปเป็น "ของสาธารณะ" (public good) และจาก "สนามแข่งขัน" ให้กลายเป็น "พื้นที่แห่งการสร้างคน" อีกครั้ง นี่คือบทเรียนสำคัญที่สังคมไทยและสังคมโลกควรเรียนรู้ในยุคที่กีฬากำลังสูญเสียจิตวิญญาณไปทีละน้อย
เอกสารอ้างอิง
- Larson RW, Walker KC. Dilemmas of practice: challenges to program quality encountered by youth program leaders. Am J Community Psychol. 2010;45(3-4):338-49.
- Larson RW, Walker KC, Pearce N. A comparison of youth-driven and adult-driven youth programs: balancing inputs from youth and adults. J Community Psychol. 2005;33(1):57-74.
- Holt NL, Neely KC, Slater LG, Camiré M, Côté J, Fraser-Thomas J, et al. A grounded theory of positive youth development through sport based on results from a qualitative meta-study. Int Rev Sport Exerc Psychol. 2017;10(1):1-49.
- International Olympic Committee. Olympic Charter. Lausanne: IOC; 2023.
- International Olympic Committee. Olympism in action: Olympic education. Lausanne: IOC; 2022.
- Lerner RM, Lerner JV, Almerigi JB, Theokas C, Phelps E, Gestsdottir S, et al. Positive youth development, participation in community youth development programs, and community contributions of fifth-grade adolescents: findings from the first wave of the 4-H study of positive youth development. J Early Adolesc. 2005;25(1):17-71.
- สถาบันวิทยาการโอลิมปิคไทย. การศึกษาโอลิมปิกเพื่อการพัฒนาเยาวชนไทย. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย; 2566.
- Duda JL, Nicholls JG. Dimensions of achievement motivation in schoolwork and sport. J Educ Psychol. 1992;84(3):290-9.
- Balyi I, Hamilton A. Long-term athlete development: trainability in childhood and adolescence. Olympic Coach. 2004;16(1):4-9.
- Côté J, Gilbert W. An integrative definition of coaching effectiveness and expertise. Int J Sports Sci Coach. 2009;4(3):307-23.
- ข้อมูลประวัติอาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ. สุพรรณบุรี: โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี; 2561.
- Weber M. The Protestant ethic and the spirit of capitalism. London: Routledge; 1992.
- รายงานผลการแข่งขันฟุตบอลนักเรียน แชมป์กีฬา 7 สี. กรุงเทพฯ: สถานีโทรทัศน์ช่อง 7; 2568.
- บทสัมภาษณ์อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ. ฉะเชิงเทรา: โรงเรียนหมอนทองวิทยา; 2568.
- เอกสารข้อมูลโรงเรียนหมอนทองวิทยา. ฉะเชิงเทรา: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา; 2568.
- Bourdieu P. The forms of capital. In: Richardson J, editor. Handbook of theory and research for the sociology of education. New York: Greenwood; 1986. p. 241-58.
- Fraser-Thomas JL, Côté J. Understanding adolescents' positive and negative developmental experiences in sport. Sport Psychol. 2009;23(1):3-23.
- Maslow AH. A theory of human motivation. Psychol Rev. 1943;50(4):370-96.
- Wenger E. Communities of practice: learning, meaning, and identity. Cambridge: Cambridge University Press; 1998.
- Bailey R, Morley D. Towards a model of talent development in physical education. Sport Educ Soc. 2006;11(3):211-30.
- Bandura A. Social learning theory. Englewood Cliffs: Prentice Hall; 1977.
- หลักสูตร กศ.บ. สาขาพลศึกษา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ; 2565.
- Cassidy T, Jones RL, Potrac P. Understanding sports coaching: the pedagogical, social and cultural foundations of coaching practice. 3rd ed. London: Routledge; 2016.
- Jones RL, Morgan K, Harris K. Developing coaching pedagogy: seeking a better integration of theory and practice. Sport Educ Soc. 2012;17(3):313-29.
- Giddens A. The constitution of society: outline of the theory of structuration. Cambridge: Polity Press; 1984.

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น