จากเปลวไฟสู่ดวงเทียน: มานุษยวิทยาแห่งการเงียบลง



เมื่อครั้งยังเยาว์วัย เราเหมือนดอกไม้ที่เพิ่งบานสะพรั่ง อยากให้ผึ้งทุกตัวมาเกาะ อยากให้สายลมพัดกลิ่นหอมไปทั่วสวน จบการศึกษามาใหม่ๆ เราถือปริญญา ประกาศนียบัตรอราวกับถือดาบ พร้อมฟาดฟันโลกให้รู้ว่าเรามีอยู่ เราแชร์ทุกความสำเร็จบนโซเชียลมีเดีย เราเล่าทุกความภาคภูมิใจให้เพื่อนฟัง เราต้องการแสงสปอตไลต์ส่องมาที่ตัวเรา เหมือนนักแสดงบนเวทีที่กลัวจะถูกลืม แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ความต้องการเหล่านั้นก็เริ่มจางหาย เราเริ่มชอบความเงียบ เริ่มหันมาดูคนรอบข้างมากกว่ามองตัวเอง เริ่มใช้ชีวิตแทนที่จะพิสูจน์ชีวิต นี่คือปรากฏการณ์ที่มานุษยวิทยาเรียกว่า "การเปลี่ยนผ่านของตัวตน" จากการเป็นศูนย์กลางของจักรวาล สู่การเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล

Erikson นักจิตวิทยาพัฒนาการ อธิบายว่ามนุษย์เราผ่านระยะต่างๆ ของชีวิตเหมือนผีเสื้อผ่านวัฏจักรการเปลี่ยนแปลง ในวัยหนุ่มสาว เราอยู่ในระยะที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์และยืนยันตัวตน ราวกับนกที่เพิ่งบินได้ต้องร้องเสียงดังๆ ให้ฝูงรู้ว่าเราอยู่ตรงไหน เราต้องการเป็นที่ยอมรับ เป็นที่จดจำ เป็นที่พูดถึง ความรู้สึก "อยากโชว์ออฟ" ไม่ใช่ความอวดดี แต่เป็นสัญชาตญาณของการอยู่รอด การอยู่รอดทางสังคม เราทำเช่นนี้เพราะตัวตนของเรายังไม่แข็งแรงพอ ยังต้องการเสาค้ำจากการยอมรับของผู้อื่น แต่เมื่อก้าวเข้าสู่วัยกลางคน แนวคิดของเราเริ่มที่จะเปลี่ยนไป เราไม่ต้องการพิสูจน์อีกแล้วว่าเรามีค่า แต่เราต้องการ "สร้างคุณค่า" ให้กับผู้อื่น เหมือนต้นไม้ที่เคยพยายามโตให้สูงที่สุดในป่า แต่พอโตเต็มที่แล้วก็เริ่มแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาแก่สิ่งมีชีวิตรอบข้าง นี่คือสิ่งที่ Erikson เรียกว่า "generativity" ความต้องการดูแลและส่งต่อคุณค่า ซึ่งต่างจาก "stagnation" ที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง

Pierre Bourdieu นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส มองว่าสังคมเป็นเหมือนตลาด ที่เราแลกเปลี่ยนไม่ใช่แค่เงินทอง แต่แลกเปลี่ยน "ทุน" หลายรูปแบบ ทุนเศรษฐกิจ ทุนวัฒนธรรม ทุนสังคม และที่สำคัญคือ "ทุนสัญลักษณ์" ซึ่งหมายถึงชื่อเสียง เกียรติยศ การยอมรับ ในวัยหนุ่มสาว เราเป็นพ่อค้าที่ยังไม่มีทุน จึงต้องตะโกนดังๆ ว่าสินค้าของเราดี ต้องแจกของทดลอง ต้องทำโปรโมชั่น ต้องสร้างความสนใจ การ "แชร์" การ "แบ่งปัน" การ "อยากมีแสง" คือกลยุทธ์ทางการตลาดของตัวเรา เราขายภาพลักษณ์ของตัวเองให้กับสังคม แต่เมื่ออายุมากขึ้น เมื่อเราสะสมทุนได้มากพอแล้ว เราไม่ต้องตะโกนอีกต่อไป ร้านค้าที่มีชื่อเสียงไม่จำเป็นต้องโฆษณา ลูกค้ารู้อยู่แล้ว เราเปลี่ยนจากการ "แสวงหา" การยอมรับ มาเป็นการ "เลือก" ว่าจะให้ความสนใจกับอะไร นี่คือการเปลี่ยนผ่านจากผู้ขอไปเป็นผู้ให้ จากผู้แสวงหาไปเป็นผู้เลือกสรร

หากมองในแง่ของทฤษฎีของ Maslow การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการปีนบันไดแห่งความต้องการ เราเริ่มต้นจากขั้นพื้นฐาน อาหาร ที่พัก ความปลอดภัย จากนั้นก็ขึ้นมาสู่ความต้องการความรัก ความเป็นเจ้าของ และการยกย่องนับถือ วัยหนุ่มสาวคือช่วงที่เราติดอยู่ที่ขั้นบันไดที่ต้องการ "การยกย่องนับถือ" เราต้องการเหรียญรางวัล ใบประกาศ คำชมเชย ไลค์ แชร์ คอมเมนต์ เราวัดคุณค่าของตัวเองด้วยตัวเลข ด้วยการเปรียบเทียบ ด้วยสายตาของผู้อื่น แต่เมื่อปีนถึงขั้นสูงสุด การบรรลุศักยภาพ เราไม่ต้องการเหรียญรางวัลอีกแล้ว เราต้องการความหมาย เราวัดชีวิตด้วยความลึก ไม่ใช่ความกว้าง เหมือนนักปีนเขาที่เคยอยากให้คนเห็นว่าเราปีนสูงแค่ไหน แต่พอถึงยอดเขาแล้ว เราเงียบลงเพราะทิวทัศน์ที่มองเห็นนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะบรรยาย

Victor Turner และ Arnold van Gennep นักมานุษยวิทยาที่ศึกษาพิธีกรรม อธิบายว่าชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยการเปลี่ยนผ่าน เราเหมือนเดินข้ามประตูบานแล้วบานเล่า แต่ระหว่างประตูสองบาน เรายืนอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า "liminality" พื้นที่คั่นกลาง ไม่ใช่เก่า ไม่ใช่ใหม่ ช่วงหลังจบการศึกษาจนถึงตั้งหลักแหล่งในชีวิตคือช่วง liminal ที่ยาวนานที่สุดช่วงหนึ่ง เราเหมือนคนที่ออกจากบ้านหลังเก่าแล้ว แต่ยังไม่ถึงบ้านหลังใหม่ เราเดินอยู่ตรงกลางทางที่มืดและไม่แน่นอน จึงต้องจุดไฟฉาย โบกธง ตะโกนเรียก เพื่อให้มั่นใจว่าเราไม่ได้หลงทาง ความ "อยากมีแสง" ของเราคือการจุดไฟในความมืด แต่เมื่อเราเดินถึงปลายทาง เมื่อเราเข้าสู่บ้านหลังใหม่ได้แล้ว เราก็ไม่ต้องการไฟฉายอีกต่อไป เพราะบ้านของเรามีไฟอยู่แล้ว ความสันโดษคือการรู้ตัวว่าเราถึงบ้านแล้ว

Michel Foucault นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส กล่าวว่าเราถูก "จ้อง" โดยสังคมตลอดเวลา แต่ที่น่าสนใจคือเราไม่ได้ถูกจ้องจริงๆ เสมอไป เราแค่ "รู้สึก" ว่าถูกจ้อง และความรู้สึกนั้นก็ควบคุมพฤติกรรมเราได้ เมื่อวัยหนุ่มสาว เรารู้สึกเหมือนมีกล้องนับพันเลนส์จ้องมาที่เรา เราแต่งตัว ยืน เดิน พูด คิดทุกอย่างเหมือนกำลังถูกถ่ายอยู่ เราเป็นนักแสดงบนเวทีที่ไม่มีใครบอกว่าเมื่อไหร่จะหยุด เราเล่นบทตัวเองอย่างหนักหน่วง จนลืมไปว่าตัวจริงเป็นอย่างไร แต่พอโตขึ้น เราเริ่มรู้ว่ากล้องเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้เปิดอยู่ หรือแม้จะเปิดอยู่ เราก็ไม่สนใจอีกแล้ว เราถอดหน้ากาก เปลื้องเสื้อผ้าแห่งบท เริ่มเป็นตัวเอง ความเป็นอิสระที่แท้จริงไม่ใช่การไม่มีใครจ้อง แต่คือการไม่แคร์ว่าใครจะจ้อง นั่นคือความสันโดษ การหลุดพ้นจากเวทีที่เราสร้างขึ้นเองให้ตัวเอง

และนี่คือจุดที่ปรัชญาโอลิมปิกเข้ามาทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์นี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น Pierre de Coubertin บิดาแห่งกโอลิมปิกสมัยใหม่ ไม่ได้สร้างโอลิมปิกขึ้นมาเพื่อให้คนแข่งขันชิงเหรียญทอง เขาสร้างมันขึ้นมาเพื่อ "Olympism" ปรัชญาการใช้ชีวิตที่เชื่อว่ากีฬาไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์อย่างสมดุล ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ คำกล่าวที่โด่งดังที่สุดของโอลิมปิกไม่ใช่ "Citius, Altius, Fortius" (เร็วกว่า สูงกว่า แข็งแกร่งกว่า) อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด แต่คือ "The most important thing in the Olympic Games is not to win but to take part, just as the most important thing in life is not the triumph but the struggle" สิ่งสำคัญที่สุดในโอลิมปิกไม่ใช่การชนะ แต่คือการมีส่วนร่วม เหมือนกับในชีวิตที่สิ่งสำคัญไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือการต่อสู้ นี่คือหัวใจของ Olympism ที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านของเราอย่างชัดเจน เมื่อยังหนุ่มสาว เราวิ่งเพื่อเหรียญทอง เราแข่งเพื่อชนะ เราฝึกซ้อมเพื่อยืนบนแท่นโพเดียมให้คนดู แต่เมื่อโตขึ้น เราเริ่มเข้าใจว่าคุณค่าที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เหรียญ แต่อยู่ที่การวิ่ง อยู่ที่การฝึกซ้อม อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของตัวเองในแต่ละก้าว

ปรัชญาโอลิมปิก สอนเราว่าการแข่งขันไม่ใช่เพื่อเอาชนะคนอื่น แต่เพื่อเอาชนะตัวเอง นักกีฬาโอลิมปิกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่คนที่มีเหรียญทองมากที่สุด แต่เป็นคนที่แสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ ความเคารพคู่แข่ง ความอดทน ความพยายาม และที่สำคัญคือการยอมรับทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ด้วยศักดิ์ศรี เมื่อเราหนุ่มสาว เราเหมือนนักกีฬามือใหม่ที่มองเห็นแต่เส้นชัย เราวิ่งเพื่อไปถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุด เพื่อให้คนปรบมือให้ เพื่อให้ได้เหรียญ แต่นักกีฬาที่มีประสบการณ์รู้ว่าเส้นชัยไม่ใช่จุดหมาย เส้นชัยคือช่วงเวลาหนึ่งที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อยู่กับเราจริงๆ คือการฝึกซ้อมทุกวัน คือการเรียนรู้ที่จะควบคุมลมหายใจ คือการเข้าใจขีดจำกัดของตัวเอง และการค่อยๆ ขยับขีดจำกัดนั้นออกไปทีละน้อย นั่นคือเหตุผลที่นักกีฬาอาวุโสมักจะสงบและเงียบมากกว่านักกีฬาหน้าใหม่ เพราะพวกเขารู้แล้วว่าไม่ต้องพิสูจน์อะไร พวกเขาวิ่งเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อใคร

ปรัชญาโอลิมปิก ยังเน้นเรื่อง "การศึกษาผ่านกีฬา" (education through sport) ที่เชื่อว่ากีฬาคือโรงเรียนของชีวิต สนามกีฬาคือสังคมย่อม ที่นี่เราเรียนรู้ที่จะเคารพกฎ เคารพคนอื่น รู้จักชนะและแพ้ รู้จักทำงานเป็นทีม รู้จักควบคุมอารมณ์ และที่สำคัญคือรู้จัก "ความพอเพียง" ของตัวเอง นักกีฬาที่แข่งโอลิมปิกมากว่าครึ่งจะไม่ได้เหรียญกลับบ้าน แต่พวกเขาไม่ใช่คนแพ้ เพราะพวกเขาได้เรียนรู้บางอย่างที่ล้ำค่ากว่าเหรียญ ได้เรียนรู้ว่าการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่มีค่ามากกว่าการเป็นหมายเลขหนึ่งคนเดียว ในวัยหนุ่มสาว เรามองว่าคนที่ไม่ได้เหรียญคือผู้แพ้ เราคิดว่าต้อง "ชนะ" จึงจะมีคุณค่า แต่เมื่อโตขึ้น เราเข้าใจว่าการ "มีส่วนร่วม" นั่นแหละคือชัยชนะ การที่เราได้ลงสนาม ได้พยายามเต็มที่ ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ได้ยืนขึ้นหลังจากล้ม นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่สำหรับหลายคนในวงการกีฬาไทย ถ้าหากเข้าร่วมบ่อยไปและไม่มีผลงานมันอาจจะมีหลากหลายปัญหาที่ตามมา แน่นอน

ปิแอร์ เดอร์คูเบอร์แตง เคยกล่าวว่า "L'important dans la vie ce n'est point le triomphe, mais le combat" (สิ่งสำคัญในชีวิตไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือการต่อสู้) คำพูดนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องสู้ตลอดไปโดยไม่หยุด แต่หมายความว่า "กระบวนการ" สำคัญกว่า "ผลลัพธ์" ในวัยหนุ่มสาว เรามองเห็นแต่ผลลัพธ์ ต้องได้งาน ต้องรวย ต้องมีชื่อเสียง ต้องให้คนรู้จัก เราวิ่งไล่ตามผลลัพธ์เหล่านั้นจนลืมมองทางที่เดิน แต่เมื่อโตขึ้น เราเริ่มเพลิดเพลินกับทาง เราชอบการเดินทางมากกว่าการไปถึง เราเข้าใจว่าชีวิตไม่มีเส้นชัย หรือแม้จะมี มันก็คือตอนที่เราตาย ดังนั้นการใช้ชีวิตเพื่อวิ่งไปหาเส้นชัยจึงไร้ความหมาย ที่มีความหมายคือการวิ่งอย่างมีสติ ตระหนักรู้ในทุกก้าว รู้สึกถึงลมที่พัดผ่าน ถึงพื้นใต้ฝ่าเท้า ถึงคนที่วิ่งข้างๆ เรา นั่นคือปรัชญาโอลิมปิก Olympism นั่นคือความสันโดษ การมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในปัจจุบัน ไม่ใช่การวิ่งไล่ตามอนาคต

ที่น่าสนใจคือโอลิมปิกเองก็มี "วัฏจักรชีวิต" เหมือนมนุษย์ นักกีฬาส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยความฝันที่จะได้เหรียญทอง พวกเขาฝึกซ้อมหนัก แข่งขันอย่างดุเดือด บางคนได้เหรียญ บางคนไม่ได้ แต่ในที่สุด ทุกคนต้องเกษียณ และนี่คือจุดที่น่าสนใจ นักกีฬาที่ยอดเยี่ยมที่สุดมักจะกลับมาเป็นโค้ช เป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้ให้ความรู้แก่รุ่นต่อไป พวกเขาไม่ต้องการแสงสปอตไลต์อีกต่อไป พวกเขาพอใจที่จะยืนข้างสนาม คอยส่งเสียงเชียร์ คอยให้กำลังใจ คอยแนะนำ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่า "Olympic spirit" จิตวิญญาณของการส่งต่อ จากการเป็นคนที่ต้องการได้รับ กลายเป็นคนที่ต้องการให้ จากการเป็นศูนย์กลาง กลายเป็นผู้สนับสนุน จากดาวเด่น กลายเป็นแสงนำทาง มันคือการเปลี่ยนผ่านเดียวกันกับที่เราประสบในชีวิต จาก "อยากโชว์ออฟ" สู่ "ความสันโดษและการแคร์คนรอบข้าง"

ปรัชญาโอลิมปิก ยังสอนเราเรื่อง "ความเป็นสากล" (universality) และ "ความเท่าเทียม" (equality) บนสนามกีฬา ไม่สำคัญว่าคุณจะมาจากไหน ร่ำรวยหรือจน ขาวหรือดำ มีชื่อเสียงหรือไม่ เมื่อลงสนามแข่งขัน ทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์เท่ากัน นี่คือความงามของกีฬา เราไม่สนใจอดีต แต่ดูแค่ว่าตอนนี้คุณทำได้แค่ไหน ในวัยหนุ่มสาว เรากลัว "ศูนย์" คือการไม่มี เรากลัวว่าถ้าไม่มีใครรู้จักเรา เราจะไม่มีค่า เราจึงพยายามสะสม "ทุน" ทางสังคม สร้าง "แบรนด์" ของตัวเอง แต่เมื่อโตขึ้น เราเข้าใจว่า "ศูนย์" นั้นคือจุดเริ่มต้นที่สวยงาม เป็นที่ที่เราสามารถเป็นตัวเองได้โดยไม่ต้องแบกภาระอดีตหรือความคาดหวังของใคร ความสันโดษคือการกลับไปสู่ศูนย์ ไม่ใช่เพราะเราแพ้ แต่เพราะเราเลือกที่จะเป็นอย่างนั้น เหมือนนักกีฬาที่ทุบสถิติโลกแล้ว ยังคงกลับไปยืนที่เส้นสตาร์ทเหมือนเดิม เพราะที่นั่นคือจุดที่ทุกอย่างเป็นไปได้

ในท้ายที่สุด ทั้ง Olympism และการเปลี่ยนผ่านทางชีวิตของเราสอนบทเรียนเดียวกัน ชีวิตไม่ใช่การแข่งขันกับคนอื่น แต่เป็นการแข่งขันกับตัวเองในเมื่อวานนี้ เป้าหมายไม่ใช่ที่จะชนะ แต่คือการพัฒนา ไม่ใช่ที่จะมีแสงส่องมา แต่คือการเป็นแสงให้ตัวเอง การเปลี่ยนจาก "อยากโชว์ออฟ" สู่ "ความสันโดษ" ไม่ใช่การสูญเสียความมุ่งมั่น แต่เป็นการยกระดับของความมุ่งมั่น จากการมุ่งมั่นเพื่อผู้อื่น มาเป็นมุ่งมั่นเพื่อตัวเอง จากการวิ่งเพื่อเหรียญรางวัล มาเป็นวิ่งเพื่อสุขภาพ จากการแข่งเพื่อชนะ มาเป็นแข่งเพื่อเรียนรู้ Margaret Mead เคยเตือนว่าสังคมสมัยใหม่บูชา ความเป็นหนุ่มสาว" Forever Young และ "การเอาชนะ" แต่ปรัชญาโอลิมปิก เตือนเราว่าจิตวิญญาณที่แท้จริงของการเป็นมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่ความเร็ว ความสูง หรือความแข็งแกร่ง แต่อยู่ที่ความมีศักดิ์ศรี ความเคารพ และความเอื้อเฟื้อ คุณสมบัติที่มาพร้อมกับวุฒิภาวะ มาพร้อมกับความสันโดษ มาพร้อมกับการหยุดพิสูจน์และเริ่มเป็น

เราทุกคนคือนักกีฬาในสนามแข่งแห่งชีวิต เมื่อหนุ่มสาว เราวิ่งเร็ว เสียงดัง หวังว่าจะมีคนเห็น แต่เมื่อโตขึ้น เราค่อยๆ ชะลอ ไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่เพราะเราเริ่มสังเกตเห็นทิวทัศน์สองข้างทาง เห็นคนที่วิ่งข้างๆ เห็นความงามของการเคลื่อนไหวของร่างกาย เห็นคุณค่าของลมหายใจแต่ละลม และในที่สุด เราเข้าใจว่าไม่มีเส้นชัยที่แท้จริง มีแต่การวิ่งที่ไม่มีวันสิ้นสุด และความสุขไม่ได้อยู่ที่การไปถึง แต่อยู่ที่การเคลื่อนไหวอย่างมีสติ อย่างมีความหมาย อย่างเคารพตัวเองและผู้อื่น นั่นคือโอลิมปิกกำลังจะบอกเรา นั่นคือความสันโดษ นั่นคือการเติบโตอย่างแท้จริง แม้เปลวเพลิงในการแข่งขันโอลิมปิกจะดับลง กลายเป็นเทียนดวงน้อยที่ค่อยๆ ลุกโชนอย่างมั่นคง ส่องสว่างไม่เพียงแต่ตัวเอง แต่ส่องสว่างให้กับคนรอบข้างด้วย เมื่อเทียนหลากหลายเล่มมารวมกันโลกของเราก็จะสว่างสดใสและน่าอยู่ขึ้นอย่างแน่นอน ….สวัสดี


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แยกทางอิชิอิ: ปัญหาเชิงโครงสร้างของฟุตบอลไทยที่ใครไม่เข้าใจ ?

Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

จากวีรบุรุษสู่คนชายขอบของสังคมไทย: บทเรียนสังคมวิทยาการกีฬาจากอำนาจ รื่นเริง