การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม จากการจัดการแข่งขันกีฬา



การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการจัดการแข่งขันกีฬาเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งต้องอาศัยระเบียบวิธีวิจัยที่รัดกุมและเป็นมาตรฐานสากล บทความนี้ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกและสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับระเบียบวิธีการประเมินผลกระทบที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเจาะลึกถึงกลไกทางทฤษฎี ข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบจำลอง ตั้งแต่แบบจำลองปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output Model) แบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (Computable General Equilibrium Model) การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ (Cost-Benefit Analysis) ไปจนถึงการประเมินผลตอบแทนทางสังคม (Social Return on Investment) การศึกษานี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงเอกสารและการสังเคราะห์องค์ความรู้ ผลการศึกษาพบว่าแบบจำลอง I-O มักให้ค่าผลกระทบสูงเกินจริง 30-50% เมื่อเทียบกับแบบจำลอง CGE ที่คำนึงถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากรและกลไกราคา นอกจากนี้ ยังนำเสนอกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลตามมาตรฐาน OECD และ IOC รวมถึงตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) และเครื่องมือวัดผลที่เหมาะสมสำหรับบริบทประเทศไทย รายงานนี้จะเป็นแนวทางให้หน่วยงานภาครัฐ สมาคมกีฬา และผู้จัดงานได้นำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนและประเมินความสำเร็จของโครงการกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

 1. บริบทแห่งการเปลี่ยนแปลง

1.1 พลวัตของอุตสาหกรรมการกีฬาในระบบเศรษฐกิจโลก

ในศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมการกีฬาได้วิวัฒนาการจากการเป็นเพียงกิจกรรมนันทนาการเพื่อสุขภาพหรือความบันเทิง ไปสู่การเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดมหึมา (Economic Engine) และเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเมืองและประเทศ (Nation Branding) การจัดการแข่งขันกีฬา ไม่ว่าจะเป็นมหกรรมกีฬาระดับโลก (Mega Events) เช่น โอลิมปิกเกมส์และฟุตบอลโลก หรือการแข่งขันกีฬาระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่น ต่างถูกคาดหวังให้เป็น "ตัวเร่งปฏิกิริยา" ในการกระตุ้นการลงทุน การท่องเที่ยว และการจ้างงาน1

รัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วโลกต่างทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าภาพ โดยมีสมมติฐานหลักว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับกลับคืนมานั้นจะคุ้มค่ากับการลงทุน อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความคาดหวังที่สวยหรูนั้น ได้เกิดคำถามท้าทายที่สำคัญยิ่งจากนักเศรษฐศาสตร์และภาคประชาสังคมเกี่ยวกับ "ความคุ้มค่าที่แท้จริง" (True Value for Money) ของการจัดงานเหล่านี้ (2)

ประวัติศาสตร์ได้จารึกบทเรียนจากหลายเมืองที่ต้องเผชิญกับภาวะหนี้สินและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกทิ้งร้าง (White Elephants) หลังจบการแข่งขัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของการประเมินผลกระทบแบบดั้งเดิมที่มักมองโลกในแง่ดีเกินจริง (Optimism Bias) และขาดความรอบด้าน (3)

1.2 ความจำเป็นในการปฏิรูปกระบวนการประเมินผล

การประเมินผลกระทบ (Impact Assessment) ในยุคปัจจุบันจึงไม่ใช่เพียงพิธีกรรมทางเอกสารเพื่อขออนุมัติงบประมาณ แต่เป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนซึ่งต้องอาศัยระเบียบวิธีวิจัยที่รัดกุม เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนในระยะยาว แนวโน้มของโลกได้เปลี่ยนผ่านจากการวัดเพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ (GDP Contribution) ไปสู่การวัดผลกระทบในมิติที่กว้างขึ้น ซึ่งครอบคลุมถึงมิติทางสังคม (Social Impact) และสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact) ตามแนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ที่ได้วางมาตรฐานใหม่เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดงานจะทิ้ง "มรดก" (Legacy) ที่เป็นบวกแก่ชุมชนเจ้าภาพ (4,5)

1.3 วัตถุประสงค์ของการศึกษา

เพื่อเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกและสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับระเบียบวิธีการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยจะเจาะลึกถึงกลไกทางทฤษฎี ข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบจำลอง ตั้งแต่แบบจำลองปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output Analysis) ไปจนถึงแบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (CGE) และการประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ตลอดจนนำเสนอกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลและตัวชี้วัดที่เป็นมาตรฐาน เพื่อเป็นแนวทางให้กับหน่วยงานภาครัฐ สมาคมกีฬา และผู้จัดงานในประเทศไทย ได้นำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนและประเมินความสำเร็จของโครงการกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

2. ทฤษฎีและระเบียบวิธีในการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ

การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic Impact Assessment - EIA) คือกระบวนการวัดปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจสุทธิที่เกิดขึ้นในพื้นที่ศึกษา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการจัดการแข่งขันกีฬา หัวใจสำคัญของ EIA คือการแยกแยะระหว่าง "กิจกรรมที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว" (Deadweight) กับ "กิจกรรมส่วนเพิ่ม" (Additionality) ที่เกิดจากงานโดยเฉพาะ (6)

2.1 กรอบแนวคิดบัญชีรายได้ประชาชาติและโมเดลเคนเซียน

รากฐานของการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่อิงอยู่กับกรอบแนวคิดบัญชีรายได้ประชาชาติ (National Income Accounting - NIA) และทฤษฎีเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์ (Keynesian Economics) ซึ่งเน้นบทบาทของ "อุปสงค์รวม" (Aggregate Demand) ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แนวคิดหลักคือเมื่อมีเม็ดเงินใหม่ (New Money) ถูกฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของพื้นที่เจ้าภาพ (Host Economy) จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนและสร้างรายได้ทวีคูณขึ้นไป (7)

2.1.1 นิยามของ "เงินใหม่" (Net Injection)

ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจคือการนำ "ยอดใช้จ่ายรวม" (Gross Spending) มานับเป็นผลกระทบ ตามมาตรฐานของ AISTS และหลักวิชาการที่ถูกต้อง เฉพาะเม็ดเงินที่ไหลมาจาก "ภายนอก" พื้นที่ศึกษาเท่านั้นที่ถือเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ (8)

ประเภทของเงินใหม่ที่นับเป็นผลกระทบ ได้แก่:

ผู้มาเยือนจากต่างถิ่น (Non-local Visitors): รายจ่ายค่าที่พัก อาหาร และการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นหรือต่างประเทศเพื่อมาร่วมงานโดยเฉพาะ

เงินลงทุนจากภายนอก (External Capital Investment): งบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง หรือเงินลงทุนจากภาคเอกชนต่างชาติที่นำมาใช้ก่อสร้างสนามหรือดำเนินงาน

รายได้จากการส่งออกบริการ (Export of Services): รายได้ค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่ขายให้กับสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศ

สำคัญมาก: การใช้จ่ายของ "คนในท้องถิ่น" (Local Residents) ไม่ควรนำมานับรวมในการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) เนื่องจากถือเป็นเพียงการโยกย้ายการใช้จ่าย (Displacement of Spending) จากกิจกรรมหนึ่งไปสู่อีกกิจกรรมหนึ่งภายในระบบเศรษฐกิจเดิม (เช่น แทนที่จะไปดูหนัง คนท้องถิ่นมาดูฟุตบอลแทน เงินไม่ได้เพิ่มขึ้น เพียงแต่เปลี่ยนมือผู้รับ) อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของคนท้องถิ่นควรนับรวมในการประเมินมูลค่าทางสังคม (Social Value) และ Consumer Surplus ในกรอบ Cost-Benefit Analysis เนื่องจากคนท้องถิ่นได้รับความสุข (Utility) จากการเข้าร่วมงาน (9)

2.1.2 กลไกตัวทวีคูณ (The Multiplier Effect)

เมื่อเงินใหม่ถูกฉีดเข้าสู่ระบบ มันจะไม่ได้หยุดนิ่งแต่จะถูกส่งต่อเป็นทอดๆ ก่อให้เกิดผลกระทบ 3 ระดับ (10):

1. ผลกระทบทางตรง (Direct Impact): คือรายจ่ายรอบแรกที่เกิดขึ้นจริง ณ จุดจัดงาน เช่น ค่าบัตรเข้าชมที่จ่ายให้ผู้จัด ค่าโรงแรมที่นักท่องเที่ยวจ่าย เงินเดือนที่จ้างพนักงานชั่วคราว

2. ผลกระทบทางอ้อม (Indirect Impact): เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เมื่อธุรกิจที่ได้รับเงินทางตรงนำเงินไปซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบต่อ เช่น โรงแรมสั่งซื้ออาหารเช้าจากเกษตรกรท้องถิ่น ผู้จัดงานจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัย

3. ผลกระทบเหนี่ยวนำ (Induced Impact): เกิดจากการที่ลูกจ้างหรือเจ้าของธุรกิจในผลกระทบขั้นต้นและขั้นกลาง มีรายได้เพิ่มขึ้นและนำรายได้นั้นไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน (เช่น พนักงานโรงแรมนำโบนัสไปซื้อเสื้อผ้าหรือทานอาหาร)

สมการตัวทวีคูณพื้นฐาน:

  • Output Multiplier (Type I) = (Direct + Indirect) / Direct
  • Output Multiplier (Type II) = (Direct + Indirect + Induced) / Direct
  • Income Multiplier = Total Income Impact / Direct Income Impact
  • Employment Multiplier = Total Employment / Direct Employment

ค่าตัวทวีคูณ (Multiplier) คือค่าสัมประสิทธิ์ที่ใช้คูณกับรายจ่ายทางตรงเพื่อประเมินผลกระทบรวม ค่านี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจของพื้นที่ หากพื้นที่นั้นต้อง "นำเข้า" สินค้าและบริการจากภายนอกมาก (High Leakage) ค่าตัวทวีคูณจะต่ำ แต่ถ้าพึ่งพาตนเองได้สูง ค่าตัวทวีคูณจะสูง

2.2 แบบจำลองปัจจัยการผลิตและผลผลิต (Input-Output Model)

แบบจำลอง Input-Output (I-O) ซึ่งพัฒนาโดย Wassily Leontief เป็นเครื่องมือที่แพร่หลายที่สุดในการประเมินผลกระทบการกีฬาเนื่องจากความสะดวกและความสามารถในการแสดงความเชื่อมโยงระหว่างภาคการผลิตต่างๆ อย่างละเอียด (11)

2.2.1 โครงสร้างและสมการพื้นฐาน

แบบจำลองนี้ใช้ตารางเมทริกซ์ขนาดใหญ่ที่แสดงข้อมูลว่าในการผลิตสินค้า 1 หน่วยในภาคอุตสาหกรรมหนึ่ง ต้องใช้ปัจจัยการผลิตจากภาคอุตสาหกรรมใดบ้าง เครื่องมือที่นิยมใช้ได้แก่ RIMS II (ในสหรัฐฯ) หรือตาราง I-O ของสภาพัฒน์ฯ (ในไทย)

สมการพื้นฐานของ I-O Model:

X = (I - A)⁻¹ · Y

โดยที่:

X = เวกเตอร์ผลผลิตรวม (Gross Output Vector)

I = เมทริกซ์เอกลักษณ์ (Identity Matrix)

A = เมทริกซ์สัมประสิทธิ์ทางเทคนิค (Technical Coefficient Matrix)

Y = เวกเตอร์อุปสงค์ขั้นสุดท้าย (Final Demand Vector)

(I - A)⁻¹ = Leontief Inverse Matrix หรือ Multiplier Matrix

2.2.2 ประเภทตัวทวีคูณและการประยุกต์ใช้

ตารางที่ 1 ประเภทตัวทวีคูณและการใช้งานในการประเมินผลกระทบการกีฬา

2.2.3 ข้อจำกัดเชิงวิกฤตของ I-O Model

แม้จะนิยมใช้ แต่ I-O Model ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากนักวิชาการว่ามักให้ค่าที่ "สูงเกินจริง" (Overestimation) เนื่องจากข้อสมมติฐานที่แข็งตัวเกินไป (12,13):

4. อุปทานยืดหยุ่นสมบูรณ์ (Perfectly Elastic Supply): I-O Model สมมติว่ามีทรัพยากร (แรงงาน ที่ดิน ทุน) เหลือเฟือเสมอ เมื่อมีอุปสงค์เพิ่ม ธุรกิจสามารถขยายการผลิตได้ทันทีโดยที่ต้นทุนไม่เพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริง การจัดงานใหญ่อาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลนชั่วคราวและราคาปัจจัยการผลิตพุ่งสูงขึ้น

5. ราคาคงที่ (Fixed Prices): แบบจำลองนี้ไม่คำนึงถึงกลไกราคา หากการจัดงานทำให้ค่าโรงแรมแพงขึ้น นักท่องเที่ยวปกติอาจยกเลิกการเดินทาง (Crowding-out) ซึ่ง I-O Model ไม่สามารถจับผลกระทบนี้ได้

6. ความสัมพันธ์เชิงเส้น (Linearity): สมมติว่าถ้ารายจ่ายเพิ่ม 2 เท่า ผลลัพธ์จะเพิ่ม 2 เท่าเสมอ โดยไม่มีการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) หรือผลตอบแทนลดน้อยถอยลง (Diminishing Returns)

2.3 แบบจำลองดุลยภาพทั่วไป (Computable General Equilibrium Model)

เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของ I-O Model นักเศรษฐศาสตร์จึงหันมาใช้แบบจำลอง CGE ซึ่งมีความซับซ้อนและสมจริงกว่าในการจำลองระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ (14,15)

2.3.1 องค์ประกอบหลักและสมการ

แบบจำลอง CGE สร้างขึ้นบนพื้นฐานของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่ให้หน่วยเศรษฐกิจ (ผู้ผลิตและผู้บริโภค) มีพฤติกรรมตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา องค์ประกอบหลัก 5 ประการ ได้แก่:

ฟังก์ชันการผลิต (Production Function)

Q = f(L, K, M)   หรือ   Q = A · Lᵅ · Kᵝ · Mᵞ

โดยที่ Q = ผลผลิต, L = แรงงาน, K = ทุน, M = วัตถุดิบ, A = Total Factor Productivity

ฟังก์ชันอรรถประโยชน์ (Utility Function)

U = U(C₁, C₂, ..., Cₙ)

โดยที่ C = ปริมาณการบริโภคสินค้าแต่ละประเภท

การเพิ่มสูงสุดของผลกำไร (Profit Maximization)

Max π = P·Q - Σ(wᵢ·Xᵢ)   subject to:  Q = f(X₁, X₂, ..., Xₙ)

การเพิ่มสูงสุดของอรรถประโยชน์ (Utility Maximization)

Max U(C₁, C₂, ..., Cₙ)   subject to:  Σ(Pᵢ · Cᵢ) = M

โดยที่ M = รายได้

เงื่อนไขสมดุลตลาด (Market Clearing Conditions)

Supply = Demand   ในทุกตลาด

2.3.2 ความเหนือกว่าของ CGE

การปรับตัวของราคา: CGE ยอมรับว่าเมื่ออุปสงค์เพิ่มขึ้นจากการจัดงาน ราคาที่พักและค่าบริการจะสูงขึ้น ซึ่งจะไปลดอุปสงค์ของนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นและคนในท้องถิ่น ทำให้เกิดผลกระทบเชิงลบที่เรียกว่า "Crowding-out Effect" ซึ่งแบบจำลองนี้สามารถคำนวณหักลบได้

ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: CGE ตระหนักว่าเศรษฐกิจมีทรัพยากรจำกัด การดึงแรงงานมาภาคบริการท่องเที่ยว อาจทำให้ภาคอุตสาหกรรมอื่นขาดแคลนแรงงานและผลผลิตลดลง

ผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่า: งานวิจัยเปรียบเทียบแสดงให้เห็นว่า CGE มักให้ค่าผลกระทบที่ต่ำกว่า I-O Model อย่างมีนัยสำคัญ (บางกรณีต่ำกว่าถึง 50%) แต่เป็นค่าที่น่าเชื่อถือและสะท้อนความเป็นจริงมากกว่า
(16)

2.4 การวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ (Cost-Benefit Analysis)

ในขณะที่ I-O และ CGE เน้นวัด "กิจกรรมทางเศรษฐกิจ" (GDP, ยอดขาย) แต่ CBA เน้นวัด "สวัสดิการสังคม" (Social Welfare) วัตถุประสงค์คือตอบคำถามว่า "สังคมโดยรวมมีความกินดีอยู่ดีขึ้นหรือไม่?" ไม่ใช่แค่ "เงินหมุนเวียนเท่าไหร่?"(17)

2.4.1 สมการพื้นฐาน

มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value - NPV):

NPV = Σ[(Bₜ - Cₜ) / (1 + r)ᵗ]

t = 0 ถึง n

อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (Benefit-Cost Ratio - BCR):

BCR = Σ[Bₜ / (1 + r)ᵗ] / Σ[Cₜ / (1 + r)ᵗ]

โดยที่:

Bₜ = ผลประโยชน์ในปีที่ t

Cₜ = ต้นทุนในปีที่ t

r = อัตราคิดลด (Discount Rate) โดยทั่วไปใช้ 3-5% สำหรับโครงการสาธารณะ

n = อายุโครงการ (ปี)

หลักเกณฑ์การตัดสินใจ (Decision Rules):

NPV > 0 → โครงการคุ้มค่า (สังคมได้ประโยชน์สุทธิเป็นบวก)

BCR > 1 → โครงการคุ้มค่า (ผลประโยชน์มากกว่าต้นทุน)

2.4.2 องค์ประกอบด้านผลประโยชน์และต้นทุน

ผลประโยชน์ (Benefits):

ส่วนเกินผู้บริโภค (Consumer Surplus): ความเต็มใจจ่าย (Willingness to Pay) ของผู้เข้าชมงานที่สูงกว่าราคาบัตรจริง ซึ่งถือเป็นความสุขส่วนเกินที่ได้รับ

มูลค่าสินค้าสาธารณะ (Public Good Value): ความภาคภูมิใจของคนในชาติ (Psychic Income) ซึ่งประเมินค่าได้ผ่านวิธีการสมมติเหตุการณ์ (Contingent Valuation Method - CVM)

ต้นทุน (Costs):

ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost): เงินลงทุนสร้างสนามกีฬาสามารถนำไปสร้างโรงพยาบาลหรือโรงเรียนได้หรือไม่? ผลตอบแทนที่หายไปจากการไม่ได้ทำโครงการอื่นคือนับเป็นต้นทุน

ผลกระทบภายนอกเชิงลบ (Negative Externalities): มูลค่าความเสียหายจากรถติด มลภาวะ และขยะที่เพิ่มขึ้น

ตัวอย่างงานวิจัย: Taks et al. (2011) เปรียบเทียบ EIA และ CBA ของงานกีฬาขนาดกลาง พบว่า EIA (ใช้ I-O Model) แสดงผลบวกทางเศรษฐกิจ 5.6 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อทำ CBA กลับพบว่าผลประโยชน์สุทธิติดลบ 2.4 ล้านดอลลาร์(18)นี่ชี้ให้เห็นว่างานที่ "กระตุ้นเศรษฐกิจ" ได้ดี อาจเป็นงานที่ "ไม่คุ้มค่า" ในมุมมองของสวัสดิการสังคม หากต้นทุนแฝงสูงเกินไป

3. การประเมินผลกระทบทางสังคมและผลตอบแทนทางสังคม

3.1 ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment)

SROI คือกรอบการทำงานที่พัฒนาต่อยอดมาจาก CBA เพื่อวัดและระบุมูลค่าของผลลัพธ์ (Outcomes) โดยแปลงเป็นมูลค่าทางการเงิน (Monetization) หลักการพื้นฐานคือการเปรียบเทียบมูลค่าทางสังคมที่สร้างขึ้นกับเงินลงทุนที่ใช้ไป โดยแสดงผลในรูปแบบอัตราส่วน (SROI Ratio) เช่น 3:1 หมายถึง เงินลงทุน 1 บาท สร้างคุณค่าทางสังคมคืนมา 3 บาท (19)

3.1.1 สมการการคำนวณ SROI

SROI Ratio = NPV of Benefits / Total Investment

NPV of Benefits = Σ[(Impactₜ × Financial Proxy) / (1 + r)ᵗ]

Adjusted Impact = Gross Impact × (1 - Deadweight) × (1 - Attribution) × (1 - Displacement) × Drop-off Factorₜ

โดยที่:

  • Deadweight: สิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วแม้ไม่มีโครงการ (0-1)
  • Attribution: สัดส่วนผลงานที่เป็นขององค์กรอื่น (0-1)
  • Displacement: การย้ายปัญหาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง (0-1)
  • Drop-off Factor: ผลกระทบที่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป (โดยทั่วไป 10-30% ต่อปี)

3.1.2 กระบวนการ SROI 6 ขั้นตอนมาตรฐาน

  • กำหนดขอบเขตและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
  • ทำแผนที่ผลลัพธ์: สร้าง Theory of Change เพื่อเชื่อมโยงกิจกรรมไปสู่ผลลัพธ์สุดท้าย
  • พิสูจน์ผลลัพธ์และให้ค่า: เก็บข้อมูลและใช้ Financial Proxies ในการตีค่าผลลัพธ์
  • กำหนดผลกระทบ: หักลบปัจจัยภายนอก (Deadweight, Displacement, Attribution, Drop-off)
  • คำนวณ SROI: รวมมูลค่าปัจจุบันสุทธิของผลประโยชน์และหารด้วยการลงทุนรวม
  • รายงานและฝังผล: นำเสนอผลต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนำผลไปปรับปรุงโครงการ

4. ตารางเปรียบเทียบระเบียบวิธีการประเมิน

ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบระเบียบวิธีการประเมินผลกระทบ5. 5. กรณีศึกษา: บุรีรัมย์โมเดล

กรณีศึกษาจังหวัดบุรีรัมย์ถือเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของประเทศไทยในการใช้นโยบาย "Sport City" พลิกฟื้นเศรษฐกิจ งานวิจัยของ Wongsanun et al. (2022) ได้ใช้วิธีการทางเศรษฐมิติขั้นสูงที่เรียกว่า Difference-in-Differences (DID) เพื่อประเมินผลกระทบ (20)

5.1 ข้อมูลเชิงปริมาณ

ข้อมูลหลัก:

การลงทุนรวม: 2,500 ล้านบาท (2009-2015)

นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น: จาก 380,000 คน (2010) เป็น 2.1 ล้านคน (2019) - เพิ่มขึ้น 453%

รายได้ท่องเที่ยว: เพิ่มจาก 1,200 ล้านบาท (2010) เป็น 8,500 ล้านบาท (2019) - เพิ่มขึ้น 608%

Output Multiplier: 1.82 (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศ 2.1 เนื่องจาก leakage สูง)

Employment Multiplier: 2.34 FTE ต่อการลงทุน 1 ล้านบาท

SROI Ratio: 3.2:1 (เมื่อนับรวมผลกระทบทางสังคม)

5.2 วิธีการ DID

DID เปรียบเทียบข้อมูลเศรษฐกิจของบุรีรัมย์ (Treatment Group) กับ 7 จังหวัดใกล้เคียงที่มีลักษณะคล้ายกัน (Control Group) ในช่วงก่อนและหลังการพัฒนาสนามช้างอารีนา (2011) ช่วยขจัดปัจจัยรบกวน เช่น ภาวะเศรษฐกิจเติบโตตามปกติของประเทศ

DID = (Y_Buriram,After - Y_Buriram,Before) - (Y_Control,After - Y_Control,Before)

ผลลัพธ์: พบว่าทำให้รายได้ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจริง 16.7% - 21.5% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01)

การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมในการจัดการแข่งขันกีฬาเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความสมดุลระหว่างศาสตร์และศิลป์ คือต้องมีความแม่นยำทางคณิตศาสตร์และเศรษฐมิติ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องมีความเข้าใจในบริบททางสังคมและมนุษยศาสตร์ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendations)

เปลี่ยนจากการวัด "ปริมาณ" สู่ "คุณภาพ": เลิกยึดติดกับตัวเลขผลกระทบทางเศรษฐกิจรวม (Gross Economic Impact) ที่มักสูงเกินจริง ให้หันมาเน้น "ผลประโยชน์สุทธิ" (Net Benefit) ที่หักลบต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้ว

  • ใช้ระเบียบวิธีผสมผสาน (Mixed Methods Integration)
  • ใช้ I-O Model สำหรับการประเมินเบื้องต้นในงานขนาดเล็ก
  • ใช้ CGE Model สำหรับงานระดับชาติ (Mega Events) เพื่อความสมจริงของกลไกราคา

บังคับใช้ SROI สำหรับโครงการที่เน้นการพัฒนาสังคมและเยาวชน เพื่อให้เห็นความคุ้มค่าของการลงทุนในมนุษย์ สร้างมาตรฐานข้อมูลกลาง (National Data Standard): ประเทศไทยควรพัฒนา "บัญชีดาวเทียมการกีฬา" (Sport Satellite Account) และฐานข้อมูล Social Value Bank ในบริบทไทย เพื่อให้มีค่ากลาง (Proxies) ที่เป็นมาตรฐานในการแปลงค่าทางสังคมเป็นตัวเงิน ลดความลักลั่นของการประเมินแต่ละสำนัก


กีฬาเป็นมากกว่าการแข่งขัน มันคือเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างชาติและพัฒนาคน หากเราสามารถวัด "พลัง" นั้นได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส เราจะสามารถบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ไม่ใช่แค่ในช่วงเวลาของการแข่งขัน แต่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต การประเมินผลกระทบที่ดีจึงไม่ใช่จุดสิ้นสุดของงาน แต่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้และพัฒนาอย่างยั่งยืน

There is no one-size-fits-all solution


เอกสารอ้างอิง

1. Gratton C, Dobson N, Shibli S. The economic importance of major sports events: a case-study of six events. Manag Leis. 2000;5(1):17-28.

2. Crompton JL. Economic impact analysis of sports facilities and events: eleven sources of misapplication. J Sport Manage. 1995;9(1):14-35.

3. Preuss H. The conceptualisation and measurement of mega sport event legacies. J Sport Tour. 2007;12(3-4):207-28.

4. Müller M. What makes an event a mega-event? Definitions and sizes. Leis Stud. 2015;34(6):627-42.

5. Organisation for Economic Co-operation and Development, International Olympic Committee. Measuring the impact of culture, sports and major events. Paris: OECD Publishing; 2018.

6. Dwyer L, Forsyth P, Spurr R. Evaluating tourism's economic effects: new and old approaches. Tour Manage. 2004;25(3):307-17.

7. Stynes DJ. Economic impacts of tourism. East Lansing: Michigan State University; 1997.

8. Crompton JL, Lee S, Shuster TJ. A guide for undertaking economic impact studies: the Springfest example. J Travel Res. 2001;40(1):79-87.

9. Késenne S. Do we need an economic impact study or a cost-benefit analysis of a sports event? Eur Sport Manage Q. 2005;5(2):133-42.

10. Fletcher JE. Input-output analysis and tourism impact studies. Ann Tourism Res. 1989;16(4):514-29.

11. Leontief W. Input-output economics. 2nd ed. New York: Oxford University Press; 1986.

12. Li S, Blake A, Thomas R. Modelling the economic impact of sports events: the case of the Beijing Olympics. Econ Model. 2013;30:235-44.

13. Matheson VA. Contrary evidence on the economic effect of the Super Bowl on the victorious city. J Sports Econ. 2005;6(4):420-8.

14. Madden JR. Economic and fiscal impacts of mega sporting events: a general equilibrium assessment. Public Finance Manage. 2006;6(3):346-94.

15. Blake A. The economic impact of the London 2012 Olympics. Nottingham: Christel DeHaan Tourism and Travel Research Institute; 2005.

16. Dwyer L, Forsyth P, Spurr R. Estimating the impacts of special events on an economy. J Travel Res. 2006;45(3):351-9.

17. Boardman AE, Greenberg DH, Vining AR, Weimer DL. Cost-benefit analysis: concepts and practice. 5th ed. Cambridge: Cambridge University Press; 2018.

18. Taks M, Késenne S, Chalip L, Green BC, Martyn S. Economic impact analysis versus cost benefit analysis: the case of a medium-sized sport event. Int J Sport Finance. 2011;6(3):187-203.

19. Nicholls J, Lawlor E, Neitzert E, Goodspeed T. A guide to social return on investment. London: The SROI Network; 2012.

20. Wongsanun C, Thongdee S, Marjit S. The economic impact of sport tourism development in Buriram province: a difference-in-differences approach. Thammasat Econ J. 2022;40(2):45-67. (in Thai)


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แยกทางอิชิอิ: ปัญหาเชิงโครงสร้างของฟุตบอลไทยที่ใครไม่เข้าใจ ?

Game Planning ที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนัก

จากวีรบุรุษสู่คนชายขอบของสังคมไทย: บทเรียนสังคมวิทยาการกีฬาจากอำนาจ รื่นเริง