เงามืดในสังเวียนแห่งศรัทธา: วันที่มวยไทยสมัครเล่นกำลังเสื่อมศรัทธา
มวยไทย ศิลปะการต่อสู้แปดทิศที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของชาติ กำลังยืนอยู่บนทางแยกที่เจ็บปวดที่สุดในประวัติศาสตร์ ในขณะที่สายตาชาวโลกนับล้านจับจ้องไปที่สังเวียนอันวิจิตรตระการตาของ ONE Championship ที่มวยไทยถูกยกระดับเป็นศิลปะการแสดงระดับโอลิมปิก ที่นักสู้สามารถสร้างแฟนคลับ การยอมรับ จากหมัดเท้าของตน กลับกันในฟากฝั่งของมวยไทยสมัครเล่น โดยเฉพาะในเวทีระดับภูมิภาคอย่างซีเกมส์ กลับกลายเป็นสนามรบที่เต็มไปด้วยเงามืดของการเมือง ความไร้ซึ่งความยุติธรรม และความหวังที่ถูกทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หัวใจของปัญหาเริ่มต้นจากสหพันธ์กีฬามวยไทยนานาชาติ หรือ สหพันธ์มวยไทย องค์กรเพียงแห่งเดียวที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล แต่ภายใต้เกราะทองอันเปล่งประกายนั้น กลับซ่อนโครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์อย่างน่าวิตก ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหพันธ์มวยไทย ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คน โดยมี ดร.ศ และ มิสเตอร์ ฟ. อดีตนักมวยชาวเยอรมันผู้สวมหมวกหลายใบในองค์กรกีฬาโลก เป็นแกนหลัก การที่บุคคลเดียวกันนั่งบนเก้าอี้หลายตัวพร้อมกัน ทั้งในสหพันธ์มวยไทย สภามวยโลก และองค์กรกีฬาระดับสากลอื่นๆ ได้ก่อให้เกิดคำถามอันหนักอึ้งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน จอห์น ค็อกเบิร์น อดีตประธานมวยไทยออสเตรเลีย เคยออกมาเปิดโปงถึงความเชื่อมโยงระหว่างบทบาทหน้าที่ในองค์กรโลกกับธุรกิจส่วนตัว ทั้งยี่ห้ออุปกรณ์กีฬาและการจัดการแข่งขันภายใต้แบรนด์ส่วนตัว ที่ถูกมองว่าใช้ร่มเงาขององค์กรโลกเพื่อเลี้ยงดูผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อรัฐบาลไทยพยายามผลักดันนโยบาย Soft Power ผ่านการออกใบรับรองมาตรฐานค่ายมวยทั่วโลก แต่แทนที่ สหพันธ์มวยไทย จะสนับสนุนนโยบายจากประเทศแม่ของกีฬา กลับออกแถลงการณ์ปฏิเสธและโจมตีอย่างรุนแรง ในการออกมาตรฐานดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นการแทรกแซงและไม่ได้รับอนุญาต ปรากฏการณ์นี้เผยให้เห็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในการควบคุมผลประโยชน์จากลิขสิทธิ์และการรับรองมาตรฐานยิมทั่วโลก สหพันธ์มวยไทย พยายามกีดกันไม่ให้หน่วยงานภาครัฐของไทยเข้าไปมีบทบาทในตลาดที่ตนเองผูกขาดอยู่ ทำให้เกิดคำถามอันเจ็บแสบว่า คนที่อาสาเข้ามาทำมวยไทย พวกเขารักมวยไทยจริงหรือ หรือรักผลประโยชน์ที่ได้จากมวยไทยสมัครเล่นมากกว่า
บทเรียนอันขมขื่นที่สุดของความล้มเหลวทางการทูตกีฬาคือกรณีกุน ขแมร์ในซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กัมพูชา เมื่อประเทศเจ้าภาพประกาศเปลี่ยนชื่อกีฬามวยไทยเป็นกุน ขแมร์โดยอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าของวัฒนธรรมดั้งเดิม สหพันธ์มวยไทย ตอบโต้ด้วยมาตรการขั้นรุนแรง ขู่ว่าจะแบนทุกชาติที่ส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันจากรายการระดับโลกทั้งหมด โดยอ้างเหตุผลเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยและการต่อต้านสารต้องห้าม แต่การกระทำดังกล่าวกลับเป็นการจับนักกีฬาเป็นตัวประกันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ผลลัพธ์คือความแตกแยกในภูมิภาค เมื่อชาติสมาชิกอาเซียนหลายชาติเลือกที่จะเพิกเฉยต่อคำขู่และส่งนักกีฬาเข้าร่วมกุน ขแมร์เพื่อลุ้นเหรียญรางวัล แสดงให้เห็นว่าอำนาจของ สหพันธ์มวยไทย เริ่มเสื่อมมนต์ขลังในระดับภูมิภาค และที่สำคัญ การที่ภูมิภาคต้นกำเนิดของกีฬายังไม่สามารถตกลงกันได้แม้แต่ชื่อเรียก กลับเป็นปัจจัยลบที่ร้ายแรงในสายตาของ IOC ความขัดแย้งนี้สะท้อนว่า สหพันธ์มวยไทย ล้มเหลวในภารกิจการเป็นทูตวัฒนธรรมและขาดความสามารถในการเจรจาทางการทูตอย่างสิ้นเชิง
หากการเมืองเป็นมะเร็งร้าย การตัดสินที่ไร้มาตรฐานก็คือยาพิษที่ฆ่านักกีฬาบนเวที การตัดสินที่เอื้อประโยชน์ต่อเจ้าภาพกลายเป็นเรื่องปกติที่น่ารังเกียจในซีเกมส์ งานวิจัยทางวิชาการยืนยันว่ามีความลำเอียงทางเชื้อชาติอย่างมีนัยสำคัญในการตัดสินของ สหพันธ์มวยไทย ผู้ตัดสินมักให้คะแนนนักกีฬาจากชาติของตนหรือชาติพันธมิตรสูงกว่าความเป็นจริง ในซีเกมส์ 2021 ที่เวียดนาม การตัดสินค้านสายตาเกิดขึ้นซ้ำซาก นักกีฬาฟิลิปปินส์ถูกตัดสินให้แพ้นักกีฬาเจ้าภาพอย่างน่ากังขาจนเกิดการประท้วงวุ่นวาย และอีกหลายรายการที่กำลังเผชิญกับเรื่องราวเหล่านี้
หนึ่งในกฎที่สร้างความกังขาและทำลายความยุติธรรมมากที่สุดคือกฎการตัดสินด้วยน้ำหนักตัวเมื่อคะแนนเสมอกัน กฎนี้ระบุว่าหากคะแนนเท่ากัน นักกีฬาที่ชั่งน้ำหนักได้เบากว่าจะเป็นผู้ชนะ ในซีเกมส์ที่ผ่านมา เกิดกรณีอื้อฉาวกับนักสู้ชาวเวียดนามที่สู้กับนักกีฬาไทย ทั้งที่รูปเกมดูเหนือกว่าและทำคะแนนได้ชัดเจน แต่กรรมการกลับให้คะแนนเสมอกัน และตัดสินให้แพ้เพราะน้ำหนักตัวมากกว่า กฎนี้เปิดช่องโหว่มหาศาลให้กับการล็อกผล ผู้ตัดสินสามารถเจตนาให้คะแนนเสมอได้ง่ายๆ หากรู้ว่านักกีฬาที่ตนต้องการให้ชนะมีน้ำหนักเบากว่า เป็นการใช้กฎระเบียบมาบังหน้าความไร้ความโปร่งใสอย่างเลือดเย็น
หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของความเน่าเฟะคือกรณีล่าสุดของเพชรสุพรรณ นักมวยไทยทีมชาติชุดซีเกมส์ 2025 ที่ออกมาเปิดเผยความจริงอันน่าตกตะลึง เขาให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่า ก่อนการแข่งขัน มีโค้ชจากชาติคู่แข่งมาบอกเขาตรงๆ ว่าผลการแข่งขันถูกล็อกไว้แล้ว ว่าเขาจะต้องแพ้ เมื่อนักกีฬาทีมชาติรับรู้ชะตากรรมว่าตัวเองจะต้องแพ้ตั้งแต่ยังไม่ก้าวขึ้นเวที เพียงเพราะดีลลับหลังฉากของผู้ใหญ่ นี่คือการทำลายเกียรติยศและคุณค่าของกีฬาอย่างถึงที่สุด เพชรสุพรรณประกาศเลิกเล่นทีมชาติทันทีเพื่อไปชกอาชีพ สะท้อนให้เห็นว่า ซีเกมส์ไม่ใช่เวทีวัดความสามารถอีกต่อไป แต่เป็นเวทีแบ่งเค้กเหรียญรางวัลทางการเมือง
ท่ามกลางความมืดมนนี้ วาทกรรม "มวยไทยไปโอลิมปิก" ถูกใช้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความหวังและขอใช้งบประมาณมหาศาลมาหลายสิบปี แต่หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงด้วยสายตาที่เป็นกลาง จะพบอุปสรรคที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้ แม้ สหพันธ์มวยไทย จะได้รับการรับรองจาก IOC อย่างเป็นทางการในปี 2021 แต่นั่นเป็นเพียงตั๋วผ่านประตูใบแรก กีฬาอีกมากมายเช่นโบว์ลิ่ง หมากรุก บริดจ์ ก็ได้รับการรับรองเช่นกัน แต่ไม่เคยได้บรรจุแข่งขันจริงในโอลิมปิก การจะเข้าไปชิงเหรียญทองต้องผ่านเกณฑ์เรื่องความแพร่หลาย ซึ่งมวยไทยยังมีปัญหา เพราะฐานนักกีฬาเก่งๆ ยังกระจุกตัวอยู่ในไทยและยุโรปตะวันออก ขณะที่ความขัดแย้งเรื่องกุน ขแมร์ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นสากลลดลง ยิ่งไปกว่านั้น IOC ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและธรรมาภิบาลเป็นที่สุด แต่ปัญหาความขัดแย้งภายใน สหพันธ์มวยไทย การผูกขาดอำนาจ ข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และความล้มเหลวในการจัดการแข่งขันซีเกมส์ให้ยุติธรรม ล้วนเป็นธงแดงที่ทำให้ IOC ต้องคิดหนัก
ในขณะที่ระบบสมัครเล่นกำลังโคม่าลง ONE Championship กลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด คำตอบที่ว่าทำไมนักมวยถึงหันไปเล่น MMA หรือ ONE Championship มากขึ้น นั้นเรียบง่ายและเจ็บปวดสำหรับคนทำมวยสมัครเล่น นั่นคือ ความยุติธรรมที่กินได้ ส่วนต่างของผลตอบแทนชี้ให้เห็นถึงความห่างชั้นอย่างชัดเจน ในขณะที่ซีเกมส์ให้เพียงเบี้ยเลี้ยงเก็บตัวหลักร้อยบาทต่อวัน และโบนัสชัยชนะสองสามแสนบาทที่รอจ่ายนาน ONE Championship จ่ายรายได้ต่อไฟต์ตั้งแต่หลักแสนถึงหลายล้านบาท และโบนัสชัยชนะเกือบสองล้านบาทจ่ายทันทีบนเวที สิ่งสำคัญกว่าเงินคือความโปร่งใส ในซีเกมส์มีการล็อกผลและเด็กเส้น ขณะที่ ONE Championship เน้นความบันเทิงและแพ้ชนะชัดเจน นอกจากนี้ยังสร้างแบรนด์ตัวเองและต่อยอดได้ทั่วโลก ไม่เหมือนการเล่นทีมชาติที่เสี่ยงเจ็บตัวฟรีและหมดอนาคตถ้าขัดใจผู้ใหญ่
กัปปิตัน เพชรยินดีคือตัวอย่างความขัดแย้งระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ เขาถูกแบนจาก สหพันธ์มวยไทย เป็นเวลาสามปีด้วยข้อหาหลีกเลี่ยงการตรวจสารต้องห้าม แต่เบื้องลึกของเรื่องนี้ถูกมองว่าเชื่อมโยงกับความขัดแย้งระหว่างค่ายเพชรยินดีกับ ONE Championship และ สหพันธ์มวยไทย การลงดาบนักกีฬาระดับโลกด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินจริงในบริบทของมวยไทย ซึ่งนักมวยมักไม่คุ้นเคยกับระบบ Whereabouts ของ WADA ถูกมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู ผลลัพธ์คือกัปปิตันหมดอนาคตในทีมชาติและต้องมุ่งหน้าสู่อาชีพเต็มตัว ส่วนโจฮัน กาซาลี นักชกหนุ่มลูกครึ่งมาเลเซีย-อเมริกันวัยสิบแปดปี คือภาพสะท้อนของ Gen Z ที่มองทะลุเปลือกจอมปลอม แทนที่จะเสียเวลาไปคัดตัวทีมชาติเพื่อชิงเหรียญทองซีเกมส์ซึ่งอาจถูกปล้นชัยชนะได้ทุกเมื่อ โจฮันเลือกเซ็นสัญญากับ ONE Championship สร้างรายได้มหาศาลและชื่อเสียงระดับโลกตั้งแต่อายุยังน้อย คำสัมภาษณ์ของเขาที่วิจารณ์ทัศนคติที่เป็นพิษของแฟนกีฬาชาติตัวเอง ยิ่งตอกย้ำว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่ได้ยึดติดกับคำว่าหน้าที่เพื่อชาติแบบเดิมๆ หากชาตินั้นไม่สามารถมอบความยุติธรรมและอนาคตให้เขาได้
นักชกระดับซูเปอร์สตาร์อย่างซุปเปอร์บอน สิงห์มาวิน และตะวันฉาย พี.เค.แสนชัย ต่างก็เลือกเส้นทางอาชีพเป็นหลัก ซุปเปอร์บอนเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาเคยโฟกัสที่ระดับโอลิมปิกในแง่ของคุณภาพการจัดการ ซึ่งเขาพบสิ่งนั้นใน ONE Championship ไม่ใช่ในทัวร์นาเมนต์สมัครเล่น ส่วนตะวันฉาย การสปาร์ริ่งกับแสนชัยที่เน้นเทคนิคและความแม่นยำ แสดงให้เห็นถึงระดับทักษะที่กติกาหยุมหยิมของมวยสมัครเล่นไม่สามารถรองรับนักมวยที่มีไอคิวดี ความสามารถสูง การส่งมวยอ่อนประสบการณ์ไปซีเกมส์จึงเป็นเรื่องจริง เพราะตัวท็อปมีค่าตัวแพงเกินกว่าจะมาเสี่ยงเจ็บตัวในเวทีที่ไม่มีมาตรฐาน
ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปลายปี 2025 กำลังเผชิญกับสัญญาณแห่งความล้มเหลว ประเทศต่างๆ รวมถึงไทย มีแนวโน้มส่งนักกีฬาดาวรุ่งหรือชุดผสมแทนที่จะเป็นชุดใหญ่ไฟกะพริบ เพราะนักมวยเกรด A ติดสัญญากับ ONE ที่ห้ามชกรายการอื่น กระแสตอบรับที่เงียบกริบ ปัญหาการย้ายสนามหนีน้ำท่วม และความไม่พร้อมของเจ้าภาพ สะท้อนว่ามนต์ขลังของเหรียญทองซีเกมส์กำลังเสื่อมถอย แฟนหมัดมวยหันไปดูรายการวันศุกร์ที่ลุมพินีซึ่งมีการน็อกเอาต์จริง เจ็บจริง จ่ายจริง และยุติธรรมกว่า
คำกล่าวที่ว่า "ยิ่งคุณทำลายวงการมวยมากเท่าไหร่ เวทีที่มีความยุติธรรมก็ยิ่งจะเจริญรุ่งเรืองมากเท่านั้น" คือบทสรุปที่ถูกต้องที่สุดของสถานการณ์ปัจจุบัน ความพยายามของกลุ่มคนอาสา หรือกลุ่มผลประโยชน์ ที่จะควบคุมมวยไทยผ่าน สหพันธ์มวยไทย และซีเกมส์ ด้วยกฎระเบียบที่บิดเบี้ยว การเมืองที่กีดกัน และการตัดสินที่ค้านสายตา ไม่ได้ช่วยให้มวยไทยไปโอลิมปิกได้เร็วขึ้น แต่กลับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และค่ายมวย หันหลังให้กับระบบสมัครเล่น และมุ่งหน้าสู่ระบบอาชีพที่บริหารจัดการโดยเอกชนอย่างเต็มตัว มวยไทยกำลังเติบโตอย่างยิ่งใหญ่ในเวทีโลก แต่สหพันธ์มวยไทยกำลังเล็กลงเรื่อยๆ ในศรัทธาของคนมวย การล่มสลายของระบบสมัครเล่นอาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากมันนำไปสู่การเกิดใหม่ของระบบอาชีพที่โปร่งใส ยุติธรรม และทำให้นักมวยไทยลืมตาอ้าปากได้อย่างแท้จริง โดยไม่ต้องรอเศษเงินจากการเมืองในซีเกมส์อีกต่อไป
ถึงเวลาตาสว่างกันเสียทีว่า โอลิมปิกอาจเป็นเพียงความฝัน แต่ปากท้องและความยุติธรรมคือความจริงที่นักมวยต้องการ ณ วินาทีนี้ เงามืดในสังเวียนอาจยังคงปกคลุมอยู่ แต่แสงสว่างของความหวังใหม่กำลังส่องประกายอยู่ในทุกๆ ไฟต์ ในทุกๆ น็อกเอาต์ และในทุกๆ รอยยิ้มของนักสู้ที่ได้รับค่าตอบแทนอย่างยุติธรรม บนสังเวียนที่ไม่มีเงามืดของการเมืองมาบดบังความจริง

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น