ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

"ทำไมคนถึงอยากเป็นใหญ่?": วิเคราะห์พฤติกรรมเหยียบ ด้วยทฤษฎีทางจิตวิทยาการกีฬา

 

🏆 บทความนี้แต่งขึ้นจากเหตุการณ์จริง อุทิศให้กับทุกท่านที่แสดงตัวอย่างให้เห็นเพื่อนำมาเป็นวิทยาทานในการถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไป

"ถ้าไม่ขึ้นไปเป็นจ่าฝูง ก็จะกลายเป็นเหยื่อ!" วลีเด็ดที่อาจฟังดูเว่อร์ แต่กลับใกล้เคียงกับความจริงในชีวิตการทำงานของมนุษย์อย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะในองค์กรที่แข่งกันเหมือนสนามกีฬา…หรือบางทีก็เหมือนสนามรบนะ!

ทำไมมนุษย์ถึงไม่รู้จักพอ? ทำไมบางคนถึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขึ้นสู่อำนาจ แม้ต้อง "เหยียบหัว" คนอื่น? บทความนี้จะพาไปวิเคราะห์ความกระหายอำนาจของมนุษย์ ผ่านมุมมองของ จิตวิทยาการกีฬา (Sport Psychology) และ ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ ที่จะทำให้คุณเข้าใจเกมอำนาจในองค์กรได้แบบมันส์ ๆ!

🧠 มนุษย์ = สิ่งมีชีวิตที่ต้องการ "รู้สึกมีค่า"

เริ่มจากพื้นฐานก่อน…มนุษย์มีความต้องการทางจิตวิทยาพื้นฐานที่เรียกว่า Self-determination theory (SDT) หรือ "ทฤษฎีการกำหนดตนเอง" โดยมี 3 องค์ประกอบหลัก คือ:

  1. ความสามารถ (Competence) – อยากรู้สึกเก่ง อยากได้รับการยอมรับ จากคนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งสังคม ว่าเป็นคนที่เก่ง มีความสามารถสูง ซึ่งจะนำมาซึ่งการสร้างความน่าเชื่อถือ หรือความไว้เนื้อเชื่อใจจากคนในสังคม

  2. ความเป็นอิสระ (Autonomy) – อยากมีอำนาจในการตัดสินใจ อยากมีอำนาจในการบริหารองค์กร หรืออยากที่จะนำเสนอแนวคิด หรือเส้นทางของตนเอง เพื่อที่จะขับเคลื่อนองค์กร ไปจนถึงการที่จะแก้แค้น หรือล้างแค้น

  3. ความสัมพันธ์ (Relatedness) – อยากเป็นที่รักและได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

ในองค์กร… "อำนาจ" มักกลายเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ครบทั้ง 3 ด้านแบบจุก ๆ!



🏛️ ทฤษฎีลำดับความต้องการของมาสโลว์: เส้นทางสู่อำนาจ

Abraham Maslow's Hierarchy of Needs เป็นทฤษฎีสำคัญที่อธิบายว่า ทำไมมนุษย์ถึงไม่รู้จักพอ และไต่เต้าแสวงหาอำนาจอย่างไม่หยุดหย่อน

ลำดับความต้องการ 5 ระดับ:

  1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) – อาหาร ที่อยู่อาศัย น้ำ
  2. ความต้องการด้านความปลอดภัย (Safety Needs) – ความมั่นคงในงาน สุขภาพ การเงิน
  3. ความต้องการด้านสังคม (Social Needs) – ความรัก มิตรภาพ การยอมรับ
  4. ความต้องการด้านการยกย่องนับถือ (Esteem Needs) – เกียรติยศ ชื่อเสียง สถานะ
  5. ความต้องการด้านการพัฒนาตนเอง (Self-actualization) – การเติมเต็มศักยภาพ

ในองค์กร "อำนาจ" = ตัวเร่งความต้องการระดับสูง

เมื่อคนเราผ่านความต้องการพื้นฐาน 2 ระดับแรกได้แล้ว พวกเขาจะเริ่มแสวงหา:

  • ความต้องการด้านสังคม: อยากเป็นหัวหน้าทีม อยากมีลูกน้องเคารพ
  • ความต้องการด้านการยกย่อง: อยากมีตำแหน่งสูง อยากได้รับการยอมรับ
  • ความต้องการด้านการพัฒนาตนเอง: อยากใช้ความสามารถเต็มที่ อยากเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่

ปัญหา: ในองค์กรที่มีโครงสร้างแบบพีระมิด ตำแหน่งสูงมีจำกัด แต่คนที่อยากขึ้นไปมีเยอะ จึงเกิดการแข่งขันแบบ "Zero-sum game" ที่ใครชนะ ใครแพ้!



🥇 เมื่อองค์กรกลายเป็นสนามแข่ง: "ทฤษฎีการขับเคลื่อนด้วยความสำเร็จ"

หนึ่งในทฤษฎีจากจิตวิทยาการกีฬาอย่าง Achievement Goal Theory บอกว่า คนเรามีแรงจูงใจหลัก 2 แบบเวลาแข่งขัน:

  1. Ego Orientation (มุ่งผลลัพธ์) – วัดค่าตัวเองจาก "การชนะ" คนอื่น
  2. Task Orientation (มุ่งพัฒนา) – วัดค่าตัวเองจาก "การพัฒนา" ของตนเอง

ในโลกอุดมคติ คนควรมุ่งที่การพัฒนา (Task-oriented) ที่เน้นการพัฒนาตนเอง การที่เราเป็นเหมือนแก้วเปล่าที่พร้อมจะรับ และพัฒนาตนเอง ได้อยู่เสมอ และต่อเนื่อง จนก้าวไปสู่ Life Long Learning แต่ในโลกแห่งความจริง…องค์กรส่วนใหญ่ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเต็มไปด้วยระบบประเมิน การเลื่อนขั้น โบนัส การจัดลำดับผลงาน ฯลฯ ซึ่งกลายเป็นการ ปลูกฝัง Ego Orientation อย่างเต็มเหนี่ยว!

คนที่ "ชนะ" ได้เลื่อนขั้น คนที่ "แพ้" อาจโดนลดบทบาท หรือโดน "ป้ายชื่อว่าไม่มีศักยภาพ" แล้วใครล่ะจะยอมเป็นผู้แพ้?

💼 "เหยียบหัวเพื่อนร่วมงาน" = กลยุทธ์เหมือนเกมกีฬา?

ลองนึกถึงนักกีฬาที่แข่งขันเพื่อเป็นตัวจริงในทีมชาติ ถ้าคู่แข่งลื่นล้มบาดเจ็บ…คุณอาจได้ลงสนาม บางคนก็เลือก "เล่นแรง" หน่อยเพื่อแย่งตำแหน่งตัวจริง ผลักเพื่อนให้ได้รับบาดเจ็บ!

ในองค์กรก็ไม่ต่างกัน — ถ้าหัวหน้ามีคนเดียว ใครจะยอมเป็นลูกน้องไปตลอดชาติ? นี่คือการเกิดขึ้นของพฤติกรรม "Playing to win" แบบผิด ๆ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่เน้นผลลัพธ์มากกว่า "กระบวนการ"

การเชื่อมโยงกับทฤษฎีมาสโลว์:

เมื่อคนติดอยู่ในระดับ "Esteem Needs" พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อได้รับการยอมรับ รวมถึงการทำลายคนอื่น เพื่อยกระดับตนเอง เป็นการตอบสนองความต้องการด้านเกียรติยศแบบผิด ๆ



🧩 พฤติกรรมไม่รู้จักพอ: มนุษย์ติด "โดปามีน" Dopamine Addicted

Dopamine = สารเคมีแห่งความพึงพอใจ เวลาคุณได้เลื่อนตำแหน่ง, มีคนเรียกว่าบอส, หรือได้โบนัสก้อนโต — สมองจะหลั่งโดปามีนทันที! แต่ปัญหาคือ…สมองมนุษย์ไม่รู้จักพอ โดปามีนที่หลั่งออกมาทำให้เราติดใจ และอยากได้ "อีก" เลยเกิดเป็น "วงจรแห่งความอยากอำนาจ" ที่เหมือนนักกีฬาอยากได้เหรียญเพิ่ม ไม่มีที่สิ้นสุด อยากที่จะประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า อยากที่จะได้รับคำสรรเสิญ จากเพื่อนร่วมงาน คนรอบข้าง อยากได้รับการยอมรับ

ความเชื่อมโยงกับมาสโลว์:

การติดโดปามีนจากอำนาจทำให้คนไม่สามารถเข้าถึงระดับ "Self-actualization" ได้ เพราะพวกเขายังคงติดอยู่กับการแสวงหาความต้องการระดับ "Esteem" แบบไม่รู้จักพอ

🛑 แล้วจะหลุดจากเกมนี้ได้อย่างไร?

1. เปลี่ยนจาก Ego เป็น Task Orientation

ฝึกมองการแข่งขันว่าเป็นการ "ชนะใจตัวเอง" ไม่ใช่ "เหยียบคนอื่น" การทำงานอย่างมีเป้าหมาย และเดินไปสู่ผลลัพธ์อย่างเป็นขั้น เป็นตอน

2. มุ่งสู่ Self-actualization แบบแท้จริง

ตามทฤษฎีมาสโลว์ ระดับสูงสุดคือการเติมเต็มศักยภาพ ไม่ใช่การเหยียบคนอื่น แต่คือการช่วยเหลือคนอื่นให้เติบโตไปด้วยกัน

3. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้น "ทีม" มากกว่าผลลัพธ์เฉพาะบุคคล

เหมือนทีมกีฬาที่แชมป์ได้ ต้อง "เล่นเป็นทีม" นักกีฬาประเภททีม การสนับสนุนเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มักจะสอนให้เราเคารพและให้เกียรติกับเพื่อนร่วมทีมของเรา การฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ความสามัคคี สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะทำให้องค์กรไปถึงเป้าหมาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

4. วัดผลจากกระบวนการ ไม่ใช่แค่ปลายทาง

รางวัลไม่ควรมีแค่ "ผลงานดี" แต่รวมถึง "การเป็นผู้นำที่ดี" ด้วย สร้างระบบที่ตอบสนองความต้องการทุกระดับของมาสโลว์ แบบสมดุล

5. การยกระดับจากการแข่งขันเป็นการร่วมมือ

แทนที่จะมองเพื่อนร่วมงานเป็นคู่แข่ง ให้มองเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า การนำคนอื่นขึ้นไปด้วยกัน คือการแสดงออกถึงการเข้าถึงระดับ "Self-actualization" ที่แท้จริง

✨ สรุปส่งท้าย: องค์กร = สนามกีฬา

ถ้าองค์กรคือสนามกีฬา อำนาจก็เหมือนเหรียญทอง แต่คำถามคือ… คุณอยากได้เหรียญทองจาก "การวิ่งแข่ง" หรือจาก "การผลักคนอื่นให้ล้ม แล้วก้าวขึ้นไปสู่อำนาจ"?

ตามทฤษฎีมาสโลว์ ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อเราผ่านพ้นการแสวงหาเกียรติยศแบบผิว ๆ และเข้าสู่การเติมเต็มศักยภาพอย่างแท้จริง เพราะสุดท้าย ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง อาจไม่ใช่การมีอำนาจเหนือใคร แต่คือ การเป็นคนที่คนอื่นอยากเดินตาม โดยไม่ต้องเหยียบหัวใครเลย

นั่นคือผู้นำระดับ "Self-actualization" ที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นเติบโตไปด้วยกัน แทนที่จะทำลายกันเพื่อแย่งชิงอำนาจ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ใครว่าพาร์กินสันออกกำลังกายไม่ได้ ลงวิ่งอัลตร้าเทรลกันเลยทีเดียว

พาร์กินสันก็ลงอัลตร้า ได้นะ Parkinson and Exercise... วันนี้ขออนุญาตแชร์เรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน ให้ฟังนะครับ เพื่อนผมชาวแคนนาดา เป็นครูสอนว่ายน้ำ อาศัยอยู่ที่ฮ่องกงครับ เขาถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน มาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังจากที่เขาทราบว่าป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนส่วนใหญ่ที่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งหรอกครับ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขานั่นก็คือการออกกำลังกาย นั่นเอง หลังจากที่เริ่มฝึกออกกำลังกายอย่างจริงจังเมื่อประมาณ สิบเดือนที่แล้ว คริส  ก็เริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจังและซ้อมวิ่ง ภายใ้ต้การดูแลโดยสตีฟ เน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (อากาศนิยม) และ ฝึกความแข็งแรง รวมทั้งการเคลื่อนไหวของข้อต่อ Joint Mobility เราเลือกการฝึกแบบแอโรบิค โดยการคุม โซนอัตราการเต้นของหัวใจครับ และทดสอบระดับแลคเตททุกๆเดือน การกำหนดโปรแกรมเนื่องจากข้อจำกัดของคริส คือ ไม่สามารถจะทำการทดสอบ VO2max แบบทางอ้อม สตีฟ ได้เลือกวิธีการทดสอบด้วย Non-Exercise Test แลนำมาหาความสัมพันธ์กับการเจาะแลคเตท ด้วยวิธีการ Cooper's test ครับ วันนี้คริส สามารถจบรายการ Cordillera Conservation T...

มวยไทย: ศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ได้เป็นของประเทศไทยเพียงชาติเดียว กับกระแสการไหลบ่าของวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกในฐานะศาสตร์แห่งอาวุธทั้งแปด (The Art of Eight Limbs) ซึ่งใช้หมัด ศอก เข่า และเท้าในการต่อสู้ แม้ว่าชื่อ "มวยไทย" จะสื่อถึงประเทศไทย แต่แท้จริงแล้ว ศิลปะการต่อสู้นี้มีรากเหง้าที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการต่อสู้ของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น กุน ขแมร์ (Kun Khmer), เลธเหวย (Lethwei), มวยลาว และโทมอย (Tomoi) การแพร่กระจายและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ส่งผลให้ศิลปะการต่อสู้เหล่านี้มีความคล้ายคลึงกันและพัฒนาไปพร้อมกันในแต่ละพื้นที่ สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ผ่านแนวคิดเรื่อง "การไหลบ่าของวัฒนธรรม" (Cultural Flows) ซึ่งเกิดขึ้นจากการติดต่อทางเศรษฐกิจ การค้าขาย การอพยพ และสงครามระหว่างรัฐในภูมิภาค การไหลบ่าของวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอิทธิพลต่อศิลปะการต่อสู้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีต จากหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ เราสามารถเห็นกระแสการไหลบ่าของวัฒนธรรมที่มีผลต่อการพัฒนาศิลปะการต่อสู้ในภูมิภา...

ฝึกความแข็งแรงของขาด้วย Suspension Trainer: อุปกรณ์เดียวเสริมสร้างความแข็งแรงที่ติดตั้งง่ายและจบในเครื่องเดียว

 การสร้างกล้ามเนื้อขาให้แข็งแรงนั้น หลายคนมักนึกถึงการยกน้ำหนักเป็นอันดับแรก แต่บางครั้งเราก็ต้องการความแปลกใหม่ หรือบางทีคุณอาจเจอปัญหาเครื่องออกกำลังกายในยิมไม่ว่าง นี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้ลองเทรนด้วย Suspension Trainer อุปกรณ์อเนกประสงค์ที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและความมั่นคงให้กับร่างกายของคุณ ทำไมต้อง Suspension Trainer? Suspension Trainer ไม่ได้มีดีแค่เรื่องการสร้างกล้ามเนื้อ แต่ยังมีข้อดีมากมาย: ปรับความหนักเบาได้ตามต้องการ : ด้วยการปรับมุมของร่างกายหรือตำแหน่งเท้า คุณสามารถปรับระดับความยากง่ายได้ตามความแข็งแรงของคุณ เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และคนที่เทรนมานาน ฝึกได้หลากหลายท่า : ตั้งแต่ท่าสควอทแบบยกแขนเหนือศีรษะไปจนถึงท่าลันจ์ คุณสามารถสลับท่าต่างๆ เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อขาได้ครบทุกมัด ได้ครบทั้งตัว : ด้วยความไม่มั่นคงของอุปกรณ์ ทำให้กล้ามเนื้อมัดเล็กและคอร์ต้องทำงานหนักขึ้น แม้จะตั้งใจเน้นขาก็ตาม พกพาสะดวก : เทรนได้ทุกที่ที่มีจุดยึด ไม่ว่าจะที่บ้าน กลางแจ้ง หรือในยิม วอร์มอัพก่อนเริ่ม การวอร์มอัพมีความสำคัญมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพในการ...