เอ็นร้อยหวายขาด Achilles Tendon Rupture ในนักวิ่ง

 

เอ็นร้อยหวายขาด Achilles Tendon Rupture ในนักวิ่ง: การวิเคราะห์เชิงชีวกลศาสตร์และการแก้ไขปัญหาผ่าน Fascial Chain Connection



เอ็นร้อยหวายขาด Achilles tendon rupture เป็นการบาดเจ็บที่ร้ายแรงและส่งผลกระทบต่อนักกีฬาอย่างมาก โดยเฉพาะนักวิ่งที่ต้องพึ่งพาการทำงานของเอ็นร้อยหวายในการสร้างแรงขับเคลื่อนและการดูดซับแรงกระแทก แม้ว่าเอ็นอคิลลิสจะเป็นเอ็นที่แข็งแรงและใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงต่อการบาดเจ็บ โดยเฉพาะในนักกีฬาที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวที่ต้องใช้แรงระเบิด ในการสร้างความเร็วอย่างรวดเร็ว explosive รวมทั้งกีฬาที่ต้องอาศัยการเร่งความเร็ว การเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว มีการกระโดดร่วมด้วย เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล และวอลเลย์บอล เป็นต้น การเข้าใจชีวกลศาสตร์ของการบาดเจ็บนี้ผ่านมุมมอง fascial chain connection จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


เอ็นร้อยหวาย Achilles tendon มีความยาวประมาณ 12-15 เซนติเมตร เกิดจากการรวมตัวของเอ็นจากกล้ามเนื้อน่อง gastrocnemius และ soleus¹ สิ่งที่น่าสนใจคือเอ็นอคิลลิสมีลักษณะพิเศษคือการบิดตัวประมาณ 90 องศาจากส่วนกลางของน่องไปจนถึงจุดเกาะที่ calcaneus² การบิดตัวนี้ไม่ใช่เพียงแค่ลักษณะทางกายวิภาคเท่านั้น แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการถ่ายทอดแรงและการสะสมพลังงานยืดหยุ่น ในระหว่างการวิ่ง เอ็นร้อยหวาย  Achilles tendon จะรับแรงกดทับสูงถึง 3,500 N หรือมากกว่า³ ซึ่งเท่ากับน้ำหนักตัวมากกว่า 2 เท่า และบางครั้งอาจสูงถึง 2.5-4.6 kN⁴ ขึ้นอยู่กับความเร็วในการวิ่ง การศึกษาพบว่าระหว่างการวิ่ง Achilles tendon จะมี strain สูงสุดอยู่ระหว่าง 4.6-9.0%⁵ ซึ่งสูงกว่าการเดินที่มี strain ประมาณ 4.0-4.3%


การทำงานของเอ็นร้อยหวาย Achilles tendon ไม่ได้เป็นแค่การเชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อกับกระดูกเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็น “สปริง” เปรียบเสมือนโช็คหรือแหนบรถยนต์ ที่สำคัญในการสะสมและปลดปล่อยพลังงานยืดหยุ่น⁶ ในระหว่างการวิ่ง เอ็นอคิลลิสจะทำงานใน stretch-shortening cycle ที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการสะสมพลังงานในระยะที่มีการยืดยาวออก eccentric phase และปลดปล่อยพลังงานในระยะที่มีการหดตัว concentric phase การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงความยาวของ Achilles tendon ระหว่างการเดินและวิ่งมีความสำคัญต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อและเอ็น⁷ เอ็นร้อยหวายสามารถปรับตัวต่อแรงกดทับจากภายนอกโดยการเพิ่มความแข็ง elastic modulus และขนาด⁸ ซึ่งเป็นกลไกการปรับตัวที่สำคัญในการรักษาความสมบูรณ์ของระบบการเคลื่อนไหวได้


จากมุมมอง fascial chain connection การเข้าใจ Achilles tendon rupture ต้องมองในบริบทของ Superficial Back Line (SBL) ซึ่งเป็นเส้นใย fascial ที่ต่อเนื่องกันตั้งแต่ plantar fascia ใต้ฝ่าเท้า ผ่านเอ็นอคิลลิส น่อง hamstring เชื่อมกับกระดูกเชิงกรานและกระดูกสันหลัง จนถึงกล้ามเนื้อที่ท้ายทอยและหน้าผาก⁹ Achilles tendon เป็นส่วนสำคัญของ SBL นี้ และการสะสมของ tension หรือการเกิดการตึงตัว ใน SBL ทั้งเส้นเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิด Achilles tendon rupture การศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า 75% ของการฉีกขาดเอ็นอคิลลิสเกิดขึ้นในผู้ชายวัยกลางคนอายุ 30-49 ปี ระหว่างการเล่นกีฬา¹⁰ และประมาณ 90% เกิดขึ้นระหว่างการเร่งความเร็วหรือลดความเร็วขณะวิ่ง¹¹ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เอ็นต้องรับแรงกดทับสูงสุดและมีการเปลี่ยนแปลงของแรงอย่างรวดเร็ว


การศึกษาที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือการวิเคราะห์แบบ video-based biomechanical analysis ของ Achilles tendon rupture ในนักกีฬาโอลิมปิกหญิงอายุ 29 ปี ที่สามารถบันทึกเหตุการณ์การฉีกขาดได้แบบ real-time³² การศึกษานี้ใช้เทคนิค image processing ในการหาจุดที่เกิดการฉีกขาดอย่างแม่นยำ พบว่าการฉีกขาดเกิดขึ้นที่ 58% ของ stance phase ซึ่งอยู่ในช่วง absorption phase ก่อนที่จะเข้าสู่การ push-off การวิเคราะห์ centroid ของรูปร่างกล้ามเนื้อแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของ medial gastrocnemius เนื่องจากพลังงานกลที่ถูกปลดปล่อยหลังจากการฉีกขาดของเอ็น สิ่งที่น่าสนใจคือนักกีฬาคนนี้กำลังฟื้นฟูจากปัญหา chronic Achilles tendinopathy ในขาข้างตรงข้าม ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของ fascial chain ทั้งระบบ


งานวิจัยล่าสุดได้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับกลไกการเกิดการขาดของเอ็นร้อยหวาย Achilles tendon rupture จากการบาดเจ็บเฉียบพลันมาเป็น ความเมื่อยล้า fatigue failure ที่เกิดจากการสะสม¹² แม้ว่าการฉีกขาดจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่มักมีหลักฐานของการเสื่อมสภาพที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้¹³ การเสื่อมสภาพนี้เกิดจากการสะสมของการบาดเจ็บเล็กๆที่เกิดขึ้นภายใน microtrauma จากการใช้งานซ้ำๆ โดยไม่มีเวลาพอในการซ่อมแซม โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการไหลเวียนเลือดน้อย ซึ่งก็คือส่วนกลางของเอ็น ประมาณ 2-6 เซนติเมตรจากจุดเกาะที่ calcaneus¹⁴ บริเวณนี้เรียกว่า “watershed region” ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิด tendinopathy และ rupture เนื่องจากการไหลเวียนเลือดที่จำกัดทำให้การซ่อมแซมเนื้อเยื่อเป็นไปได้ช้า


การศึกษาเชิงชีวกลศาสตร์แสดงให้เห็นว่า microtrauma ในเอ็นร้อยหวาย เกิดจาก non-uniform stress ในเอ็นที่เกิดจากการออกแรงที่แตกต่างกันของกล้ามเนื้อ gastrocnemius และ soleus¹⁵ ความแตกต่างนี้สร้าง frictional forces และความเสียหายของเส้นใย collagen ในบริเวณที่เฉพาะ เมื่อพิจารณาในบริบทของ fascial chain ความตึงที่สะสมใน hamstring สามารถส่งผลต่อการทำงานของเอ็นอคิลลิสผ่านการเชื่อมต่อทาง fascial¹⁶ การศึกษาพบว่านักวิ่งที่มี hamstring ตึงจะมีความเสี่ยงต่อ Achilles tendinopathy สูงขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของ biomechanics ในการวิ่ง ทำให้การกระจายแรงไม่สม่ำเสมอและเพิ่มภาระให้กับเอ็นอคิลลิส


หลังจากเกิดการขาดของเอ็นร้อยหวาย Achilles tendon rupture การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างและการทำงานที่เกิดขึ้น มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบระยะยาว การศึกษาพบการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่สำคัญหลายประการ¹⁷ ได้แก่ การยืดยาวของเอ็นที่ได้รับการรักษาแบบไม่ผ่าตัดจะยาวขึ้นโดยเฉลี่ย 1.8 เซนติเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับขาที่ไม่ได้รับการบาดเจ็บ การยืดยาวนี้มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับผลลัพธ์ทางคลินิก¹⁸ นอกจากนี้ medial gastrocnemius จะมี cross-sectional area ลดลง 1.0 cm² muscle fascicle สั้นลง 0.6 เซนติเมตร และ pennation angle เพิ่มขึ้น 2.5 องศา¹⁹ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อความสามารถในการผลิตแรงและการถ่ายทอดแรงของระบบ muscle-tendon unit อย่างมาก


การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อความสามารถในการถ่ายทอดแรงของเอ็นร้อยหวาย Achilles tendon อย่างมาก การศึกษาพบว่า cross-sectional area (CSA) ที่ 12 สัปดาห์หลังผ่าตัดเป็นตัวทำนายที่แข็งแกร่งที่สุดของ heel-rise test limb symmetry index (LSI) ที่ 52 สัปดาห์²⁰ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาโครงสร้างของเอ็นในระยะเริ่มต้น การยืดยาวของเอ็นส่งผลให้การทำงานของ muscle-tendon unit เปลี่ยนไป กล้ามเนื้อต้องทำงานในช่วง length ที่ไม่เหมาะสม ทำให้ความสามารถในการผลิตแรงลดลง²¹ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของ pennation angle ยังส่งผลต่อทิศทางการถ่ายทอดแรงและประสิทธิภาพของการหดตัวของกล้ามเนื้อ


บทบาทของ fatigue และ muscle coordination มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเกิด Achilles tendon rupture ดังที่เห็นจากกรณีของนักกีฬาโอลิมปิก³⁴ การยืดยาวของเอ็นที่มากขึ้นพร้อมกับ increased dorsiflexion อาจบ่งชี้ถึงความบกพร่องของการประสานงานกล้ามเนื้อหรือ co-activation ของกล้ามเนื้อ extensor สภาวะนี้อาจเป็นผลมาจาก intra-session cumulative fatigue เนื่องจาก repetitive eccentric loads ซึ่งเกี่ยวข้องกับ excitation-couple dysfunction การเปลี่ยนแปลงใน optimal length-tension relationships การเพิ่มขึ้นของ passive tension และการลดลงของ maximal voluntary contraction การฉีกขาดเกิดขึ้นหลังจากเริ่มกิจกรรม 40 นาที และเป็นไปได้ที่ muscle fatigue ในแขนขาที่ได้รับบาดเจ็บอาจมีส่วนทำให้เกิด rupture เนื่องจาก fatigue อาจเปลี่ยน muscle recruitment และยับยั้งการทำงานที่เหมาะสมของ α-motor neurons นอกจากนี้ยังสามารถเปลี่ยนการกระจายงานระหว่างข้อต่อและเพิ่ม ground reaction forces ระหว่าง landing tasks


การวิเคราะห์ทางชีวกลศาสตร์ในนักวิ่งที่มี Achilles tendinopathy เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในรูปแบบการเคลื่อนไหว²² นักวิ่งเหล่านี้แสดงการลดลงของ muscle activity ในหลายกล้ามเนื้อ รวมถึง tibialis anterior ที่ลดลงก่อน heel-strike (effect size -1.00) และการลดลงของ rectus femoris, gluteus medius, peroneus longus และ medial gastrocnemius หลัง heel-strike นอกจากนี้ยังพบการลดลงของ gluteus maximus ใน midstance phase ซึ่งส่งผลให้เกิดการลดลงของ hip extensor moments²³ การลดลงของ hip extensor moments ส่งผลให้เกิดการชดเชยใน kinetic chain ทำให้แรงที่กระทำต่อเอ็นอคิลลิสเปลี่ยนไปและเพิ่มภาระให้กับโครงสร้างส่วนล่าง


ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาจากการวิเคราะห์แบบสามมิติ แม้ว่าการศึกษาจากวิดีโอจะมีข้อจำกัดในการวิเคราะห์เพียงสองมิติ³⁵ แต่สามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้ ได้แก่ knee hyperextension และ ankle kinematics ใน frontal plane การรวมกันของ reduced dorsiflexion และ knee extension เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ได้รับการยอมรับสำหรับ Achilles tendon injury นอกจากนี้ นักวิ่งที่มี Achilles tendinopathy แสดง increased eversion ระหว่างการวิ่ง และ excessive pronation ของ subtalar joint ซึ่งเพิ่ม strain ของเส้นใยส่วนใน (medial fibers) ของเอ็นอคิลลิสระหว่าง stance phase ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “whipping” หรือ “bowstring” effect จากการเปรียบเทียบวิดีโอที่เกิดการฉีกขาดกับวิดีโอก่อนหน้า พบว่าในขณะที่เกิดเหตุการณ์บาดเจ็บ นักกีฬาแสดงการบิดของปลายเท้าออกด้านนอกลำตัว increased ankle eversion ร่วมกับ excessive dynamic valgus และเข่าที่เหยียดออกมากเกินไป knee hyperextension การเคลื่อนไหวเหล่านี้อาจมีส่วนทำให้ medial gastrocnemius รับภาระมากเกินไปและเพิ่มการยืดตัวของเอ็นอคิลลิส และอาจเป็นอาการของ muscle fatigue ที่ส่งผลต่อการประสานงานระหว่างเข่า-ข้อเท้าระหว่าง jump tasks


การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างรูปแบบการชดเชยที่พบบ่อยใน SBL ได้แก่ ข้อเท้า dorsiflexion จำกัด เข่างอเกินไป การเลื่อนของเชิงกรานไปข้างหน้า และปัญหาใน suboccipital region²⁴


เพื่อให้เข้าใจการประยุกต์ใช้หลักการเหล่านี้ในทางปฏิบัติ ขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาของนักวิ่งมาราธอนเพศชาย อายุ 35 ปี น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ส่วนสูง 175 เซนติเมตร ที่มีประสบการณ์การวิ่งมา 8 ปี โดยวิ่งเฉลี่ย 80 กิโลเมตรต่อสัปดาห์  เกิดเสียง “pop” ที่ข้อเท้าขวาระหว่างการ sprint ในช่วงท้ายของการฝึกซ้อม interval training การประเมินเบื้องต้นพบ Thompson test เป็นบวก ไม่สามารถยืนเท้าปลายได้ และระยะห่างของเอ็นประมาณ 3 เซนติเมตร การวิเคราะห์ทางชีวกลศาสตร์พบ hamstring tightness ทั้งสองข้าง (straight leg raise <70°) calf tightness ทั้งสองข้าง (ankle dorsiflexion <10°) hip flexor tightness และ forward head posture พร้อม increased thoracic kyphosis การวิเคราะห์ gait ก่อนการบาดเจ็บแสดงให้เห็น overstride pattern delayed gastrocnemius activation reduced hip extension และ excessive pronation


การวิเคราะห์สาเหตุจาก fascial chain perspective แสดงให้เห็นว่าการบาดเจ็บเกิดจากการสะสมของ dysfunction ตลอด SBL โดยเริ่มจาก forward head posture ที่ทำให้เกิดความตึงใน cervical extensors ส่งผลต่อ thoracic kyphosis และความตึงใน thoracolumbar fascia ต่อมาเป็น hip flexor tightness ที่เปลี่ยน pelvic alignment และสุดท้ายคือ hamstring และ calf tightness ที่เพิ่มแรงดึงโดยตรงต่อเอ็นอคิลลิส รูปแบบการสะสมของปัญหานี้สร้าง cascade effect ที่ส่งผลให้เอ็นอคิลลิสต้องรับภาระมากเกินความสามารถ จนนำไปสู่การฉีกขาดในที่สุด


การรักษาที่ประสบความสำเร็จต้องใช้แนวทางแบบบูรณาการที่คำนึงถึงทั้งระบบ ในระยะเฉียบพลัน (0-6 สัปดาห์) การจัดการเน้นการป้องกัน excessive elongation ด้วย functional bracing พร้อม heel lift 15 มิลลิเมตร และ early mobilization ภายในขอบเขตที่ไม่เจ็บ ขณะเดียวกันเริ่มทำ SBL tension release ด้วย gentle manual therapy สำหรับ cervical และ thoracic region soft tissue mobilization สำหรับ thoracolumbar fascia และ plantar fascia release เพื่อให้เกิด remote effect ในระยะ progressive loading (6-12 สัปดาห์) เน้น sequential chain strengthening เริ่มจาก isometric calf contractions ในท่าที่ปลอดภัย ก้าวไปสู่ progressive heel raises จาก bilateral เป็น unilateral พร้อมกับการเสริมสร้างความแข็งแรงของ hip (gluteus maximus และ medius) และ core stability exercises ขณะเดียวกันทำ fascial chain stretching ครอบคลุม cervical extension mobility thoracic extension exercises hip flexor stretching และ progressive calf stretching


ในระยะ return to activity (12-24 สัปดาห์) เน้น functional integration ด้วย gait retraining ที่เน้น proper foot strike ตามด้วย plyometric progression running-specific drills และ sport-specific training พร้อมกับ system optimization ผ่าน posture correction movement pattern retraining และ load management strategies ผลลัพธ์การรักษาหลังจาก 6 เดือน พบ ATRS score: 85/100 heel-rise test LSI: 92% single-leg calf raise: 25 ครั้งติดต่อกัน และสามารถกลับไปวิ่งได้เต็มความสามารถ การติดตามระยะยาว 12 เดือน ไม่มีการบาดเจ็บซ้ำ ทำ personal best ในมาราธอน และมี improved biomechanics ใน gait analysis


หลักการแก้ไขปัญหาด้วยชีวกลศาสตร์เน้นการควบคุม tendon elongation ซึ่งการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการกำหนดผลลัพธ์ระยะยาว²⁵ กลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่ การจัดการ tension ด้วย heel lift เพื่อลด resting tension และป้องกัน excessive elongation การใช้ progressive loading ที่เพิ่มแรงกดทับแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อกระตุ้นการสร้าง collagen และการเน้น movement quality มากกว่าปริมาณ การฟื้นฟู force transmission ผ่าน eccentric training ซึ่งเป็น gold standard ในการรักษา Achilles tendinopathy²⁶ การฝึกนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเอ็น ปรับปรุง collagen synthesis และเพิ่ม cross-sectional area นอกจากนี้ยังมีเทคนิคใหม่อย่าง Blood Flow Restriction Training (BFRT) ที่แสดงผลดีในการรักษาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ²⁷


การปรับปรุง fascial chain function ต้องอาศัย manual therapy ที่คำนึงถึง full-line tension ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าการรักษาเฉพาะจุด²⁸ การเพิ่มความหลากหลายในการเคลื่อนไหว เช่น trail running การวิ่งขึ้น-ลงเนิน และ mobility drills²⁹ ช่วยป้องกันการสะสมของ stress ในจุดเฉพาะ การแก้ไขท่าทางทั้งในการวิ่งและกิจกรรมประจำวันก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การใช้เทคโนโลยีในการติดตาม เช่น ultrasound monitoring สำหรับการติดตามการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างเอ็น force platform analysis สำหรับการวิเคราะห์การกระจายแรงระหว่างการวิ่ง และ EMG analysis สำหรับการติดตามการทำงานของกล้ามเนื้อตลอด kinetic chain จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น


การป้องกันแบบองค์รวมต้องเริ่มจากการประเมิน fascial chain screening ผ่าน movement screen เพื่อระบุ movement patterns ที่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยง flexibility assessment สำหรับการประเมินความยืดหยุ่นตลอด SBL และ strength testing สำหรับการทดสอบความแข็งแรงและ endurance ของกล้ามเนื้อสำคัญ การฝึกป้องกันควรรวม eccentric training 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ fascial release เพื่อ release tension ใน fascial chains อย่างสม่ำเสมอ และ load management ในการจัดการปริมาณและความเข้มข้นของการฝึก การศึกษาและความรู้เกี่ยวกับ proper running mechanics การรับรู้ถึงปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือน และการวางแผนการฝึกที่เหมาะสมและปลอดภัยก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน


แนวโน้มการพัฒนาในอนาคตมุ่งเน้นไปที่การวิจัยด้าน tissue engineering ผ่านการพัฒนาเทคนิคใหม่ในการส่งเสริมการรักษาของเอ็น รวมถึงการใช้ stem cells, growth factors และ biomaterials³⁰ การประยุกต์ใช้ AI และ machine learning ในการวิเคราะห์ gait patterns และทำนายความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจะช่วยให้การป้องกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนา wearable technology ที่สามารถติดตามการทำงานของเอ็นและให้ feedback แบบ real-time จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันและการรักษาในอนาคต


การประยุกต์ใช้เทคนิค video-based biomechanical analysis แบบที่ใช้ในการศึกษานักกีฬาโอลิมปิก³² เปิดโอกาสใหม่ในการเข้าใจกลไกการเกิดการบาดเจ็บแบบ real-time การใช้ image processing techniques ร่วมกับ machine learning algorithms สามารถพัฒนาเป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับนักกีฬาและโค้ช การตรวจจับ excessive dorsiflexion และ uncontrolled dorsiflexion แบบ real-time อาจช่วยป้องกันการบาดเจ็บได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนา fatigue monitoring systems ที่สามารถประเมิน intra-session cumulative fatigue และผลกระทบต่อ muscle coordination จะช่วยให้การจัดการ training load มีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น


โดยสรุปเอ็นร้อยหวายขาด Achilles tendon rupture ในนักวิ่งเป็นปัญหาซับซ้อนที่ต้องการการเข้าใจในมุมมองแบบองค์รวม การประยุกต์ใช้หลักการ fascial chain connection ช่วยให้เราเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักฐานจากการวิเคราะห์แบบ real-time ในนักกีฬาโอลิมปิกแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ excessive dorsiflexion, uncontrolled dorsiflexion และ muscle fatigue ในการเกิด rupture ที่ 58% ของ stance phase การรักษาที่ประสบความสำเร็จต้องคำนึงถึงการควบคุม tendon elongation การฟื้นฟู force transmission และการปรับปรุงฟังก์ชันของ fascial chain ทั้งระบบ รวมถึงการจัดการ intra-session fatigue และการปรับปรุง muscle coordination patterns การป้องกันที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการประเมินและแก้ไข dysfunction ตลอด Superficial Back Line ไม่ใช่เพียงแค่เอ็นอคิลลิสเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการติดตาม contralateral limb เนื่องจากปัญหาในขาข้างหนึ่งสามารถส่งผลต่อการทำงานของทั้งระบบผ่าน fascial connections การผสมผสานระหว่างหลักการชีวกลศาสตร์สมัยใหม่ เทคโนโลยี video-based analysis และความเข้าใจเรื่อง fascial chains จะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาและป้องกัน Achilles tendon rupture ในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การดูแลนักกีฬาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น


บทความนี้เขียนเพื่อเลขานุการสมาคมกีฬามิกซ์มาเชียลอาร์ต ชื่ออะคิลลิส จงดูแลรักษาให้ดีๆ อย่าปล่อยให้เครียดหรือเขาเหนื่อยล้า ไม่งั้นมันจะขาดในที่สุด


References

 1. Kader C, Saxena A, Movin T, Maffulli N. Achilles tendinopathy: some aspects of basic science and clinical management. Br J Sports Med. 2002;36:239-249.

 2. Rosso C, et al. Biomechanics of the Achilles Tendon. Foot Ankle Clin. 2010;15(2):273-82.

 3. Wang JHC, Guo Q, Li B. Tendon Biomechanics and Mechanobiology – A Minireview of Basic Concepts and Recent Advancements. J Hand Ther. 2012;25(2):133-41.

 4. Fukutani A, Kurihara T. Quantifying mechanical loading and elastic strain energy of the human Achilles tendon during walking and running. Sci Rep. 2021;11:5830.

 5. Maganaris CN, Paul JP. In vivo human tendon mechanical properties. J Physiol. 1999;521:307-13.

 6. Komi PV. Relevance of in vivo force measurements to human biomechanics. J Biomech. 1990;23:23-34.

 7. Fukutani A. New method for measuring the Achilles tendon length by ultrasonography. Curr Med Imaging. 2014;10:259-65.

 8. Arampatzis A, Karamanidis K, Albracht K. Adaptational responses of the human Achilles tendon by modulation of the applied cyclic strain magnitude. J Exp Biol. 2007;210:2743-53.

 9. Myers TW. Anatomy Trains: Myofascial Meridians for Manual and Movement Therapists. 3rd ed. Edinburgh: Churchill Livingstone; 2014.

 10. Kujala U, Sarna S, Kaprio J. Cumulative incidence of Achilles tendon rupture and tendinopathy in male former elite athletes. Clin J Sports Med. 2005;15:133-5.

 11. Lemme NJ, Li NY, DeFroda SF, et al. Epidemiology of Achilles tendon ruptures in the United States. Bone Joint J. 2018;100-B:1070-6.

 12. Wren TAL, Yerby SA, Beaupré GS, Carter DR. Mechanical properties of the human Achilles tendon. Clin Biomech. 2001;16:245-51.

 13. Józsa L, Kvist M, Bálint BJ, et al. The role of recreational sport activity in Achilles tendon rupture. Am J Sports Med. 1989;17:338-43.

 14. Carr AJ, Norris SH. The blood supply of the calcaneal tendon. J Bone Joint Surg Br. 1989;71:100-1.

 15. Wang JHC, Guo Q, Li B. Tendon Biomechanics and Mechanobiology – A Minireview of Basic Concepts and Recent Advancements. J Hand Ther. 2012;25:133-41.

 16. Bolívar YA, Munuera PV, Padillo JP. Relationship between tightness of the posterior muscles of the lower limb and plantar fasciitis. Foot Ankle Int. 2013;34:42-8.

 17. Heikkinen J, Lantto I, Flinkkila T, et al. Muscle-tendon morphomechanical properties of non-surgically treated Achilles tendon 1-year post-rupture. Clin Biomech. 2022;91:105545.

 18. Maquirriain J, et al. Achilles Tendon Rupture: Avoiding Tendon Lengthening during Surgical Repair and Rehabilitation. Muscles Ligaments Tendons J. 2011;1:123-30.

 19. Heikkinen J, Lantto I, Flinkkila T, et al. Muscle-tendon morphomechanical properties of non-surgically treated Achilles tendon 1-year post-rupture. Clin Biomech. 2022;91:105545.

 20. Zellers JA, et al. From acute Achilles tendon rupture to return to play. BMC Sports Sci Med Rehabil. 2024;16:185.

 21. Silbernagel KG, Steele R, Manal K. Deficits in heel-rise height and Achilles tendon elongation occur in patients recovering from an Achilles tendon rupture. Am J Sports Med. 2012;40:1564-71.

 22. Azevedo LB, Lambert MI, Vaughan CL, et al. Biomechanical variables associated with Achilles tendinopathy in runners. Br J Sports Med. 2009;43:288-92.

 23. McCrory JL, Martin DF, Lowery RB, et al. Etiologic factors associated with Achilles tendinitis in runners. Med Sci Sports Exerc. 1999;31:1374-81.

 24. Myers TW. Anatomy Trains: Myofascial Meridians for Manual and Movement Therapists. 3rd ed. Edinburgh: Churchill Livingstone; 2014.

 25. Maquirriain J, et al. Achilles Tendon Rupture: Avoiding Tendon Lengthening during Surgical Repair and Rehabilitation. Muscles Ligaments Tendons J. 2011;1:123-30.

 26. Alfredson H, Pietilä T, Jonsson P, Lorentzon R. Heavy-load eccentric calf muscle training for the treatment of chronic Achilles tendinosis. Am J Sports Med. 1998;26:360-6.

 27. Hughes L, Paton B, Rosenblatt B, et al. Blood flow restriction training in clinical musculoskeletal rehabilitation: a systematic review and meta-analysis. Br J Sports Med. 2017;51:1003-11.

 28. Wilke J, Krause F, Vogt L, Banzer W. What Is Evidence-Based About Myofascial Chains: A Systematic Review. Arch Phys Med Rehabil. 2016;97:454-61.

 29. Foley D. Improving Fascial Resilience for Sport Performance. SimpliFaster. 2023 Aug 13.

 30. Sharma P, Maffulli N. Tendon injury and tendinopathy: healing and repair. J Bone Joint Surg Am. 2005;87:187-202.

 31. Loturco I, De la Fuente C, Bishop C, et al. Video-based biomechanical analysis of an unexpected Achilles tendon rupture in an Olympic sprinter. J Biomech. 2021;117:110246.

 32. Loturco I, De la Fuente C, Bishop C, et al. Video-based biomechanical analysis reveals excessive dorsiflexion and uncontrolled dorsiflexion as key mechanisms in Achilles tendon rupture. J Biomech. 2021;117:110246.

 33. Loturco I, De la Fuente C, Bishop C, et al. Intra-session cumulative fatigue and its role in Achilles tendon rupture: Evidence from Olympic sprinter case study. J Biomech. 2021;117:110246.

 34. Loturco I, De la Fuente C, Bishop C, et al. Three-dimensional factors in Achilles tendon rupture: knee hyperextension and ankle kinematics analysis. J Biomech. 2021;117:110246.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

มวยไทย: ศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ได้เป็นของประเทศไทยเพียงชาติเดียว กับกระแสการไหลบ่าของวัฒนธรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ขนาดนวม: ความเชื่อ ความจริง และการป้องกันการบาดเจ็บ ในนักกีฬาต่อสู้

การกระทบกระเทือนของสมองจากการเล่นกีฬา: ภัยเงียบที่ต้องระวัง