วันนี้เลยขออนุญาตสรุปสาระสำคัญมาให้อ่านกันพอเป็นไอเดีย
1. ชั่วโมงพลศึกษาในโรงเรียนระดับประถมและมัธยม อย่างน้อย 90 นาทีต่อสัปดาห์ และยังมีชั่วโมงในการเพิ่มหรือกระตุ้นกิจกรรมทางกาย มีการเพิ่มการเบรค ระหว่างรายวิชา เป็น ครั้งละ 15 นาทีต่อวัน รวมเป็น 45 นาที และพักกลางวันเป็นสองชั่วโมง เพื่อให้เด็กมีการเพิ่มระดับกิจกรรมทางกาย Physical Activity ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก
2. การเรียนการสอนพลศึกษา เน้นการสอนโดยสอดแทรกองค์ความรู้ทางด้าน สรีรวิทยาการกีฬา โภชนาการกีฬา เพื่อพยายามสร้างการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต แบบระยะยาว Life Long Learning แต่วิธีการวัดเป็นเรื่องยาก เพราะ Life Long Learning ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างบุคคล และ Life Style ของแต่ละคน ดังนั้น การศึกษาคือการ Introduction ให้เขาได้เลือก แต่ไม่ใช่ต้องบังคับเขาให้เป็น เด็กที่นี่จึงมีกระบวนการทางความคิดที่ค่อนข้างอิสระ ในการเลือก
3. พลศึกษาในโรงเรียน เน้นคำเดียวคือ สนุก Fin & Fun เหนือสิ่งอื่นใด Learning Outcome ในช่วงชั้นประถมต้น เน้น การพัฒนา Physcial Literacy, ประถมปลายถึงมัธยมต้น เน้น Fundamental Motor Skill ช่วงมัธยมปลาย เน้นกีฬา แต่ไม่ใช่กีฬา เน้นกีฬาเพื่อพัฒนาทักษะทางสังคม เช่น Dancing, Ballroom Dancing เพื่อพัฒนาการเข้าสังคมของนักเรียน ส่วนถ้าจะไปเล่นกีฬาเพื่อความเป็นเลิศ นั้น ก็จะไปเรียนกันเองตามทีมต่างๆ เพราะเขาเชื่อว่าทักษะทางด้านกีฬา มันไม่สามารถสอนกันได้ภายในชั้นเรียน
4. มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ เช่น XBox, Group Exercise Program : GX เพื่อเน้นการเคลื่อนไหว พร้อมสอดแทรกความรู้ต่างๆในการเรียนการสอน เช่น การอบอุ่นร่างกาย การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (สื่อการเรียนการสอน) การป้องกันการบาดเจ็บ เน้น Games Based Learning เป็นหลัก เพื่อให้สอดคล้องตามข้อ 3 วิธีการสอนแต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างกันไป แต่ยึดตาม National Core-Curriculum เป็นหลัก ซึ่งจะนำมาเสนอในโอกาสต่อไป
5. Physical Education Class เน้น Student Attitude ไม่ใช่ Study Task เพื่อป้องกันผลลบ ต่อเด็กที่มีทัศนะคติลบต่อวิชาพลศึกษา ดังนั้น Class Participant จึงเป็นเรื่องใหญ่กว่าการ Evaluation หรือการประเมินครับ
6. STEM ศึกษา ถูกเปลี่ยนเป็น STEAM ศึกษา มีการเพิ่ม Art : ศิลปะ เข้าไปในการจัดการเรียนการสอนเข้าไปด้วย เพื่อให้นักเรียนเข้าใจทั้งเทคโนโลยี และความงาม เข้าไปด้วยกัน มีการจัดการเรียนการสอนด้านคอมพิวเตอร์ โดยใช้ Object Oriented Programming ไม่ยัด Python ให้เด็กเรียนเนื่องจากต้องการพัฒนากระบวนการคิด วิเคราะห์ของเด็ก และ ป้องกัน Bad Attitude ต่อ การเขียนโปรแกรม โฟกัสที่การทำงานเป็นทีม เช่น กลุ่มนึงจะมีแค่สามคน มีการกำหนดบทบาทชัดเจนในการทำหน้าที่ของแต่ละคน ถ้ามากกว่าสามคน ความสนใจเด็กจะลดน้อยลงครับ
7. อัตราส่วนระหว่างครูต่อนักเรียน คือ 1:10 ครับ สำหรับการจัดการเรียนการสอน ครูที่นี่ต้องใส่ใจนักเรียน มีการเพิ่มผู้ช่วยสอน Teaching Assistance และการสอนแบบเป็นทีม เข้าไปด้วย
8. ความเห็นของผู้บริหารด้านการศึกษาในฟินแลนด์ เห็นว่า ประเทศไทยควรเพิ่มระยะเวลาและปรับรูปแบบการเรียนการสอนทางด้านพลศึกษา อย่างเร่งด่วน
9. ที่สวีเดนมีการทดลองการเพิ่มการเคลื่อนไหวก่อนการเรียนวิชาในกลุ่ม STEM ซึ่งสามารถเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ของวิชาในกลุ่ม STEM โดยรูปแบบเช่น Circuit Training เป็นต้น
10. ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย มีการสอนเรื่องโภชนาการ กายวิภาคศาสตร์ การพัฒนาร่างกาย ซึ่งเป็นวิชาในกลุ่ม Health Science และแยกออกมาจากวิชาพลศึกษา
11. ปัญหาเด็กติดโทรศัพท์มือถือ ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ กำลังมีการระดมนักวิชาการ มาเพื่อหาวิธีการแก้ไขเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ ของนักเรียน
ฟินแลนด์ มีคณะพลศึกษา เพียงแห่งเดียวคือ University of Javaskyla ที่ผลิตครูพลศึกษา เพียงแห่งเดียว ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Faculty of Sports and Health Sceicne
ประเทศไทยชอบบอกว่าระบบการศึกษาของฟินแลนด์ดีที่สุด แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตอนนี้ระบบการศึกษาของฟินแลนด์ถูกนำไปใช้ที่เพื่อนบ้านของเราแล้ว นั่นคือ ที่เวียดนาม มีการสร้างโรงเรียน ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฟินแลนด์ และการจัดการเรียนการสอนระบบเดียวกับที่ฟินแลนด์แล้ว ที่เมืองโฮจิมินห์ ในขณะที่ประเทศไทย ออกข่าวเป็นครั้งคราว
สรุปมาคร่าวๆแค่นี้ก่อนนะครับ เวอร์ชั่นเต็มรอติดตามครับ
แต่ว่าใครจะเป็นเจ้าภาพ ??? หรือจะเดินไปบอกกระทรวงศึกษาธิการของเราว่าควรจะต้องปฏิรูปการเรียนการสอนพลศึกษาในโรงเรียนได้แล้ว
แต่ว่าใครจะเป็นเจ้าภาพ ??? หรือจะเดินไปบอกกระทรวงศึกษาธิการของเราว่าควรจะต้องปฏิรูปการเรียนการสอนพลศึกษาในโรงเรียนได้แล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น