ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การฝึกที่ระดับความหนักเกินกว่าความหนักสูงสุด Supramaximal Training ตอนที่ 2


หลังจากตอนที่แล้วผมเกริ่นนำเกี่ยวกับการฝึกที่ความหนักเกินกว่าความหนักสูงสุด ไปแล้วนะครับ วันนี้เราจะมาลงรายละเอียดกันนะครับ หลังจากที่เราผ่านการสกรีนเบื้องต้นแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็คือการทดสอบนะครับ สำหรับการทดสอบนั้น สิ่งที่จำเป็นก็คือ การทดสอบปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุด หรือ VO2 max ซึ่งโปรโตคอลที่ใช้ในการทดสอบ จะเป็นลักษณะของ Incremental Test คือการเพิ่มความหนักขึ้นไปเป็นขั้นๆนะครับ สำหรับตอนที่สองนี้ ผมจะเขียนเกี่ยวกับรูปแบบของการใช้พลังงานในการฝึกซ้อม กับ การฝึกที่ระดับความหนักสูงนั้นจะส่งผลต่อความสามารถในการออกกำลังกายได้อย่างไรบ้าง ???
สำหรับกีฬาว่ายน้ำ หรือ กีฬาที่ใช้สถิติเป็นตัวตัดสิน สิ่งแรกที่เราจำเป็นจะต้องมีข้อมูล ข้อมูลของเวลาที่นักกีฬาทำได้ และเทียบกับสถิติ ที่เป็นเป้าหมายของเรา นั่นก็คือ Benchmark นั่นเองครับ ถ้าหากเรามาดูความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางที่ทำได้กับเวลานั้น เราจะได้สมการเส้นตรงครับ หลังจากที่เรานำสถิติของแต่ละรายการมาพลอตเป็นกราฟ สมการนั้นก็คือ Y=0.0098x-20.218 เมื่อแกน Y เป็นระยะเวลาที่ทำได้ และแกน X เป็นระยะทาง สมการนี้ใช้ได้ดีครับเพราะเป็นการนำสถิติโลกของนักกีฬากับระยะทางที่ทำได้มาพล็อตนะครับ เหมาะสำหรับเป็น Benchmark ได้ดี ซึ่งในระยะทางระหว่าง 0 -1500 เมตรนั้น สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ยิ่งระยะสั้นเราก็จะใช้ระบบพลังงานแบบแอนแอโรบิค ในการสปรินท์ และหากระยะทางเพิ่มมากขึ้น สัดส่วนของระบพลังงานแบบแอนแอโรบิคกับ แอโรบิคก็จะแปรผันไปตามระยะทางที่เพิ่มขึ้นนะครับ แต่ถ้าเราเอาค่า ความเร็วของการว่ายมาพล็อตกับระยะทางในการว่าย น้ำ เราก็จะได้กราฟแบบเอ็กซโปเนนเชี่ยลนะครับ Y=0.372/X + 1.70 ซึ่งสมการนี้เป็นค่าของความเร็วกับระยะเวลาที่ได้ครับ ซึ่งไม่ว่ากราฟระหว่างเวลาหรือความเร็วในการว่าย นั้น ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเส้นตรง หรือ เอ็กซ์โพเนนเชี่ยลบ้าง ครับ คราวนี้เราลองมาดูความหนักกับระยะเวลากันบ้าง จากงานวิจัยพบว่า ระยะเวลาสั้นมาก ประมาณ 30 วินาที หรือการว่ายน้ำระยะ 50 เมตร ความหนักที่ใช้จริงในการว่ายน้ำก็คือ 180-220 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุด แต่ถ้าหากเป็นการแข่งขันที่อยู่ในช่วง 4-6 นาที ความหนักก็จะอยู่ประมาณ 100 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุด ต่อไปเรามาดูสัดส่วนของปริมาณของระบบพลังงานแบบแอนแอโรบิค และ แอโรบิค ซึ่งแปรผันตามระยะเวลาการแข่งขัน เช่น 30 วินาที สัดส่วนของระบบพลังงาน Aerobic : Anaerobic 30:70 1 นาที 50 : 50 2-3 นาที 65-70 : 30-35 4-5 นาที 80-85 : 15-20 และ 8-10 นาที >90:<10 200="" 50="" 75="" br="">สิ่งที่เราจะต้องทราบอีกอย่างหนึ่งก็คือ คำว่า Oxygen Uptake ก็คือ ปริมาณการใช้ออกซิเจนของร่างกาย โดยปริมาณการใช้ออกซิเจนนั้นจะเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มการออกกำลังกาย จากนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะคงตัวหรือ Steady State ดังนั้น ปริมาณความต้องการออกซิเจนของร่างกายที่สภาวะคงที่ หรือ ปริมาณพลังงานที่ใช้ไปของพลังงานต่อนาที เมื่อออกกกำลังกายที่ระดับความหนักหนึ่ง ถ้าคุณมีการฝึกซ้อมแบบแอโรบิค ปกติแล้วปริมาณการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นๆ เมื่อเริ่มออกกำลังกาย แต่ถ้าหากเรามีการเร่งการออกกำลังกายจนที่ร่างกายไม่สามารถเพิ่มปริมาณของออกซิเจนที่นำเข้าไปใช้ในร่างกายได้ทัน เราก็จะใช้พลังงานจากระบบพลังงานแบบแอนแอโรบิคมาช่วย หรือที่เรียกว่า Oxygen Deficit ครับ แต่ ค่าของของ การเป็นหนี้ออกซิเจน Oxygen Debt นั้น ไม่สามารถบอกถึงการ Recovery ได้ชัดเจนนะครับ เหมือนกับเวลาเรากู้เงิน เราเป็นหนี้ เวลาใช้หนี้ก็ต้องมีทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนั่นเองครับ ดังนั้น Oxygen Debt: EPOCExcess post-exercise oxygen consumption ก็คือ เป็นค่าของ Oxygen Debt+การเผาผลาญพลังงานโดยใช้ออกซิเจนที่เพิ่มขึ้น การทำงานของฮอร์โมนที่จะกระตุ้นระบบเผาผลาญภายหลังจากการออกกำลังกาย เราจะเห็นได้จากค่าทางชีวเคมีของร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วจะสูงกว่าค่าของ Oxygen Deficit นะครับ
แล้วเราจะหาค่าปริมาณการใช้ออกซิเจนในการฝึกที่ระดับความหนักสูงกว่าความหนักสูงสุดได้อย่างไร ถ้าเราหาค่าการออกกำลังกายที่ระดับ Submaximal เราก็จะได้ค่า ปริมาณการใช้ออกซิเจนที่ Steady State ซึ่งจะมีการเพิ่มขึ้นแบบเส้นตรง Linear Regression ซึ่งเราก็จะใช้เทคนิคการ Scaling ข้อมูลแบบหนึ่งที่เรียกว่า Extrapolation จากกราฟระหว่างความหนักกับปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุด นั่นเอง แต่ถ้าเราใช้ค่าปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุดในการทำเทคนิค Extrapolation Datat นั้นเราจะพบว่า ค่า VO2max จะมีจุดที่เรียกว่า Level-Off of VO2max ซึ่งจะทำให้ค่าที่ได้นั้นเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงนะครับ สรุปก็คือการหาความหนักที่จะใช้ในการฝึกแบบนี้แนะนำเป็นการหาปริมาณการใช้ออกซิเจนแบบ Sub Maximal Test จะเหมาะกว่าครับ ถ้าสมมติว่า ปริมาณ VO2max เท่ากับ 4 ลิตรต่อนาที ถ้าความหนักของการออกกำลังกายเท่ากับ 4 ลิตรต่อนาที ดังนั้นความหนักของการออกกำลังกายจะเท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์นั่นเอง และถ้า ปริมาณการใช้ออกซิเจนที่ใช้ในการออกกำลังกายเท่ากับ 5 ลิตรต่อนาที แต่ปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุดของเราเท่ากับ 4 ลิตรต่อนาที ดังนั้ความหนักของการออกกำลังกายเท่ากับ 125 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณการใช้ออกซิเจนสูงสุด ซึ่งชุดข้อมูลที่จะใช้ในการหาปริมาณออกซิเจนสูงสุดนั้นควรจะมีมากกว่า 8 ชุดข้อมูลครับ
ในการฝึกซ้อมแบบ Supramaximal Exercise นั้นรูปแบบจะใช้แบบ Intermittent Training คือหนักสลับพัก ดังนั้น Oxygend Deficit = Oxygen Demand Recovery – Oxygen demand at Rest ดังนั้น ปริมาณของออกซิเจน Deficit ระหว่าง interval training = ผลรวมของ Oxygendeficit ระหว่างการออกกำลังกาย- ผลรวมของออกซิเจนที่ระบเข้าไปเกินขณะฟื้นสภาพ ซึ่งกราฟจะมีลักษณะเป็นการเพิ่มขึ้นแบบ Progressive นั่นเองครับ
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาเขียนต่อนะครับ ตอนต่อไป

Image may contain: 1 person, sitting and indoor

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ใครว่าพาร์กินสันออกกำลังกายไม่ได้ ลงวิ่งอัลตร้าเทรลกันเลยทีเดียว

พาร์กินสันก็ลงอัลตร้า ได้นะ Parkinson and Exercise... วันนี้ขออนุญาตแชร์เรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน ให้ฟังนะครับ เพื่อนผมชาวแคนนาดา เป็นครูสอนว่ายน้ำ อาศัยอยู่ที่ฮ่องกงครับ เขาถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน มาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หลังจากที่เขาทราบว่าป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนส่วนใหญ่ที่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งหรอกครับ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขานั่นก็คือการออกกำลังกาย นั่นเอง หลังจากที่เริ่มฝึกออกกำลังกายอย่างจริงจังเมื่อประมาณ สิบเดือนที่แล้ว คริส  ก็เริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจังและซ้อมวิ่ง ภายใ้ต้การดูแลโดยสตีฟ เน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (อากาศนิยม) และ ฝึกความแข็งแรง รวมทั้งการเคลื่อนไหวของข้อต่อ Joint Mobility เราเลือกการฝึกแบบแอโรบิค โดยการคุม โซนอัตราการเต้นของหัวใจครับ และทดสอบระดับแลคเตททุกๆเดือน การกำหนดโปรแกรมเนื่องจากข้อจำกัดของคริส คือ ไม่สามารถจะทำการทดสอบ VO2max แบบทางอ้อม สตีฟ ได้เลือกวิธีการทดสอบด้วย Non-Exercise Test แลนำมาหาความสัมพันธ์กับการเจาะแลคเตท ด้วยวิธีการ Cooper's test ครับ วันนี้คริส สามารถจบรายการ Cordillera Conservation T...

EMMAA ระงับกิจกรรมทั้งหมดกับ IMMAF

  วันที่ 4 พฤษภาคม 2023 - สมาคมศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานแห่งอังกฤษ (EMMAA) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าพวกเขาจะระงับการมีส่วนร่วมของนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และผู้ตัดสินจากการแข่งขันและกิจกรรมทั้งหมดของสหพันธ์ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานนานาชาติ (IMMAF) จนกว่าจะมีประกาศเพิ่มเติม เหตุผลของการตัดสินใจ การตัดสินใจนี้เป็นผลมาจากจดหมายที่ EMMAA ส่งเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2023 ซึ่งได้รายงานถึงปัญหาด้านการปกป้องเด็กและการล้มเหลวของ IMMAF ที่ไม่ดำเนินการแก้ไขในเวลาที่ควร การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากมุมมองทางศีลธรรมและความซื่อสัตย์ หลังจากการปรึกษาหารือกับที่ปรึกษากฎหมายมืออาชีพ ประวัติความเป็นมาของ IMMAF แม้ว่า IMMAF จะเคยให้โอกาสและความทรงจำที่ดีแก่นักกีฬาของ EMMAA มาโดยตลอด แต่ปัจจุบันมาตรฐานของ IMMAF ได้เสื่อมโทรมลงอย่างมาก ทำให้ EMMAA ต้องตัดสินใจระงับการมีส่วนร่วมของตน ความขอบคุณต่อทีมงาน EMMAA ขอบคุณทีมงานอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการจัดการแข่งขันของ IMMAF อย่างไรก็ตาม EMMAA เห็นว่า ประธานกรรมการ ผู้บริหาร และคณะกรรมการของ IMMAF ได้ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อ...

Full Squat VS Half Squat มุมมองในเชิงชีวกลศาสตร์

ศิริเชษฐ์  พูลทิพายานนท์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา มศว เป็นที่ถกเถียงกันในวงการเทรนเนอร์ในเรื่องของ Half Squat VS Full Squat นะครับ วันนี้เลยอยากจะเสนอมุมมองใหม่ในทางชีวกลศาสตร์กันดูบ้างสำหรับเรื่องของการสควอท ท่ายอดฮิตนะครับ สำหรับเทรนเนอร์ทั้งหลาย  โดยวันนี้ผมจะขอเขียนเป็นสามด้านนะครับ เปรียบเทียบกันทั้งสองท่าน ระหว่าง Half Squat และ Full Squat แต่ต้องขอออกตัวก่อนนะครับ นี่เป็นเพียงแค่การทำตัวอย่างนะครับ ยังไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด สำหรับว่าท่าไหนจะดีกว่ากันนะครับ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาวิจัยกันอีกต่อไป แต่ที่แน่นอนนั่นก็คือ จุดมุ่งหมายแตกต่างกันแน่นอน ครับ แต่การนำไปใช้ก็ต้องมีข้อควรระวังด้วยนะครับ  *****ไม่งั้นจะหาว่าเจ้าของบล็อกไม่เตือน**** ผมทดลอง Squat อาสาสมัครเป็นผู้หญิง น้ำหนักประมาณ 65 กิโลกรัม ส่วนสูง 170.5 เซนติเมตร ผมลองทำโมชั่นแคปเจอร์ ของอาสาสมัคร โดยทำท่าสควอท สองแบบ นะครับ แบบแรกก็คือ การทำ Half Squat และ อีกแบบนึงก็คือการทำ Full Squat ครับ โดยผมเก็บการเคลื่อนไหว ด้วย IMU Sensors ซึ่งเป็นเซนเซอร์วัดความเร่งและการเคลื่อนไหวติดตาม ส่วนต่างๆขอ...