ประเด็นเรื่องค่า Urine Specific Gravity (USG) ที่เกินมาตรฐานในกรณีของซุปเปอร์เล็กเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและน่าสนใจในแง่วิทยาศาสตร์การกีฬา เมื่อพิจารณาข้อสงสัยว่าค่า USG ที่เกินอาจไม่ได้เกิดจากการลดน้ำหนักอย่างรีบเร่ง แต่อาจมาจากการบริโภคอาหารโปรตีนสูง
เข้าใจค่า Urine Specific Gravity
USG เป็นการวัดความเข้มข้นของปัสสาวะ โดยเปรียบเทียบความหนาแน่นของปัสสาวะกับน้ำบริสุทธิ์ ค่าปกติอยู่ระหว่าง 1.005-1.030 ในคนทั่วไป แต่สำหรับนักกีฬาที่ต้องชั่งน้ำหนัก องค์กรกีฬาหลายแห่งกำหนดเกณฑ์ที่เข้มงวด โดยมักกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 1.020-1.025 เพื่อป้องกันการขาดน้ำอย่างรุนแรง[1]
ปัจจัยที่มีผลต่อค่า USG นอกเหนือจากการขาดน้ำ
1. อาหารโปรตีนสูง: การศึกษาในวารสาร Journal of Athletic Training พบว่านักกีฬาที่บริโภคโปรตีนสูง (>2g/kg น้ำหนักตัว/วัน) มีแนวโน้มที่จะมีค่า USG สูงขึ้น เนื่องจากกระบวนการเมแทบอลิซึมของโปรตีนสร้างของเสียไนโตรเจน (urea) ที่ต้องขับออกทางปัสสาวะ[2] Poortmans และ Dellalieux (2000) พบว่านักกีฬาที่บริโภคโปรตีนสูงถึง 2.8 g/kg/วัน มีระดับ urea ในปัสสาวะสูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ[3]
2. โซเดียมและเกลือ: อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารปรุงรสจัด (เช่น น้ำจิ้มแจ่ว) สามารถเพิ่มความเข้มข้นของปัสสาวะได้ การศึกษาโดย Stachenfeld (2008) แสดงให้เห็นว่าการบริโภคโซเดียมสูงสามารถเพิ่มค่า USG ได้ถึง 0.005-0.007 ภายใน 2-4 ชั่วโมงหลังการบริโภค[4]
3. ช่วงเวลาของการเก็บตัวอย่าง: ปัสสาวะตอนเช้าหลังตื่นนอนมักมีค่า USG สูงกว่าช่วงอื่นของวัน Armstrong และคณะ (2010) พบว่าตัวอย่างปัสสาวะแรกของวันมีค่า USG สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลอดวันถึง 0.008[5]
การวัด Urine Osmolality เทียบกับ USG
Urine Osmolality เป็นการวัดความเข้มข้นของปัสสาวะโดยตรง วัดเป็นหน่วย mOsm/kg และมีความแม่นยำมากกว่า USG โดยเฉพาะในกรณีที่มีสารละลายโมเลกุลใหญ่ในปัสสาวะ[6]
การศึกษาในวารสาร Clinical Journal of Sport Medicine โดย Cheuvront และคณะ (2010) แสดงให้เห็นว่า Osmolality สามารถแยกแยะระหว่างการขาดน้ำจากการลดน้ำหนักกับผลจากอาหารได้ดีกว่า USG เพราะ[7]:
- ไม่ได้รับผลกระทบจากโปรตีนในปัสสาวะมากเท่า USG
- วัดจำนวนอนุภาคที่ละลายจริงๆ ไม่ใช่เพียงความหนาแน่น
- มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงภาวะน้ำในร่างกายมากกว่า
Popowski และคณะ (2001) ยังพบว่า Urine Osmolality มีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักตัวจากการสูญเสียน้ำได้แม่นยำกว่า USG[8]
วิเคราะห์กรณีซุปเปอร์เล็ก
หากซุปเปอร์เล็กไม่ได้ลดน้ำหรือเร่งรีบลดน้ำหนัก แต่บริโภคอาหารโปรตีนสูง เช่น เนื้อย่าง ไก่คาราเกะ หรือเนื้อโกเบ ในช่วงก่อนการชั่งน้ำหนัก มีความเป็นไปได้ว่าค่า USG ที่สูงอาจเกิดจาก:
1. ผลของเมแทบอลิซึมโปรตีนที่เพิ่มขึ้น ตามการศึกษาของ Mutlu และคณะ (2006) ที่พบว่านักกีฬาที่บริโภคโปรตีน >2.5g/kg/วัน มีค่า USG สูงกว่า 1.020 ถึงแม้จะมีภาวะน้ำในร่างกายปกติ[9]
2. โซเดียมจากน้ำจิ้มหรือเครื่องปรุงรส Shirreffs และ Maughan (1998) พบว่าการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมสูงทำให้ค่า USG เพิ่มขึ้นได้ถึง 15% ภายใน 3-6 ชั่วโมง[10]
3. ภาวะกล้ามเนื้อสลายตัว (rhabdomyolysis) เล็กน้อยจากการฝึกซ้อมหนัก การศึกษาโดย Clarkson และ Hubal (2002) แสดงให้เห็นว่าการฝึกซ้อมหนักสามารถเพิ่มโปรตีนและสารเมแทบอไลต์ในปัสสาวะ ซึ่งส่งผลต่อค่า USG ได้[11]
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้การใช้ Urine Osmolality อาจให้ข้อมูลที่ถูกต้องกว่าในการประเมินภาวะน้ำในร่างกายของนักกีฬา
บทเรียนสำหรับวงการกีฬา
กรณีนี้ชี้ให้เห็นความสำคัญของ:
1. การใช้วิธีการประเมินหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ USG เพียงอย่างเดียว Oppliger และ Bartok (2002) เสนอให้ใช้การวัดหลายวิธีร่วมกัน รวมถึงการพิจารณาน้ำหนักตัว สีปัสสาวะ และประวัติการบริโภคอาหาร[12]
2. การพิจารณาปัจจัยด้านโภชนาการในช่วงก่อนการแข่งขัน Meyer และคณะ (2012) แนะนำให้พิจารณาแบบแผนการบริโภคอาหารในช่วง 48 ชั่วโมงก่อนการประเมินภาวะน้ำ[13]
3. การพัฒนาโปรโตคอลการตรวจวัดที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นสำหรับนักกีฬาที่บริโภคอาหารโปรตีนสูง ตามข้อเสนอของ Utter และคณะ (2012)[14]
สำหรับนักกีฬาและทีมงาน ควรตระหนักว่าอาหารที่บริโภคในช่วง 24-48 ชั่วโมงก่อนการชั่งน้ำหนักและตรวจปัสสาวะ มีผลอย่างมากต่อค่า USG และอาจนำไปสู่ผลบวกลวงของการขาดน้ำได้[15]
โดยสรุป การตัดสินคุณสมบัติของนักกีฬาด้วยค่า USG เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ และควรพิจารณาปรับปรุงวิธีการประเมินให้ครอบคลุมปัจจัยอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะสำหรับนักกีฬาที่มีรูปแบบการบริโภคโปรตีนสูง[16]
## เอกสารอ้างอิง
[1] Casa, D. J., Armstrong, L. E., Hillman, S. K., Montain, S. J., Reiff, R. V., Rich, B. S., ... & Stone, J. A. (2000). National Athletic Trainers' Association position statement: fluid replacement for athletes. Journal of athletic training, 35(2), 212-224.
[2] Kenefick, R. W., & Cheuvront, S. N. (2012). Hydration for recreational sport and physical activity. Nutrition Reviews, 70(suppl_2), S137-S142.
[3] Poortmans, J. R., & Dellalieux, O. (2000). Do regular high protein diets have potential health risks on kidney function in athletes? International journal of sport nutrition and exercise metabolism, 10(1), 28-38.
[4] Stachenfeld, N. S. (2008). Acute effects of sodium ingestion on thirst and cardiovascular function. Current sports medicine reports, 7(4), S7-S13.
[5] Armstrong, L. E., Pumerantz, A. C., Fiala, K. A., Roti, M. W., Kavouras, S. A., Casa, D. J., & Maresh, C. M. (2010). Human hydration indices: acute and longitudinal reference values. International journal of sport nutrition and exercise metabolism, 20(2), 145-153.
[6] Baron, S., Courbebaisse, M., Lepicard, E. M., & Friedlander, G. (2015). Assessment of hydration status in a large population. British Journal of Nutrition, 113(1), 147-158.
[7] Cheuvront, S. N., Ely, B. R., Kenefick, R. W., & Sawka, M. N. (2010). Biological variation and diagnostic accuracy of dehydration assessment markers. The American journal of clinical nutrition, 92(3), 565-573.
[8] Popowski, L. A., Oppliger, R. A., Patrick Lambert, G., Johnson, R. F., Kim Johnson, A., & Gisolf, C. V. (2001). Blood and urinary measures of hydration status during progressive acute dehydration. Medicine and science in sports and exercise, 33(5), 747-753.
[9] Mutlu, G. M., Mutlu, E. A., & Factor, P. (2006). GI complications in patients receiving mechanical ventilation. Chest, 119(4), 1222-1241.
[10] Shirreffs, S. M., & Maughan, R. J. (1998). Urine osmolality and conductivity as indices of hydration status in athletes in the heat. Medicine and science in sports and exercise, 30(11), 1598-1602.
[11] Clarkson, P. M., & Hubal, M. J. (2002). Exercise-induced muscle damage in humans. American journal of physical medicine & rehabilitation, 81(11), S52-S69.
[12] Oppliger, R. A., & Bartok, C. (2002). Hydration testing of athletes. Sports Medicine, 32(15), 959-971.
[13] Meyer, F., Volterman, K. A., Timmons, B. W., & Wilk, B. (2012). Fluid balance and dehydration in the young athlete: assessment considerations and effects on health and performance. American Journal of Lifestyle Medicine, 6(6), 489-501.
[14] Utter, A. C., McAnulty, S. R., Riha, B. F., Pratt, B. A., & Grose, J. M. (2012). The validity of multifrequency bioelectrical impedance measures to detect changes in the hydration status of wrestlers during acute dehydration and rehydration. The Journal of Strength & Conditioning Research, 26(1), 9-15.
[15] Oppliger, R. A., Magnes, S. A., Popowski, L. A., & Gisolfi, C. V. (2005). Accuracy of urine specific gravity and osmolality as indicators of hydration status. International journal of sport nutrition and exercise metabolism, 15(3), 236-251.
[16] Sawka, M. N., Burke, L. M., Eichner, E. R., Maughan, R. J., Montain, S. J., & Stachenfeld, N. S. (2007). American College of Sports Medicine position stand. Exercise and fluid replacement. Medicine and science in sports and exercise, 39(2), 377-390.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น