หลังจากกลับมาจากเรียนต่อจากต่างประเทศ ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีไฟแรงอย่างมาก หวังที่จะเอาความรู้ที่ไปเรียนยังเมืองนอกเมืองนา กลับมาสอนเด็กที่บ้านเรา แต่เรานั้นลืมไปว่าเด็กที่นี่ช่างแตกต่างกับต่างประเทศมากนัก สังคมที่อ้าปากรอป้อนและไม่เคยแสวงหาความรู้ความจริง ทำให้ กระบวนความคิดของเด็กบ้านเราเคลื่อนตัวไปได้อย่างช้ามาก
การที่เราจะพัฒนาความคิดของเรานั้น ก็ต้องมาจากการที่เราจะต้องฝึกระบบความคิด เราจะต้องมีข้อมูลมากพอที่จะทำให้เรานั้นคิดตาม ข้อมูลได้มาจากอะไร าส่วนใหญ่แล้วข้อมูลนั้นจะได้มาจากการอ่าน การศึกษาด้วยตัวเอง เป็นส่วนมาก ถ้าเราไม่อ่านหนังสือ เราก็จะไม่สามารถเข้าไปสู่แหล่งความรู้ ที่จะเอามาใช้ในการคิด การประยุกต์ได้
ดังนั้นการสอนของผม จึงตั้งใจที่จะให้เป็นระบบที่ทำให้เด็กนั้นรู้จักขวนขวาย เราไม่บอกเขาทุกอย่าง แต่เราจะรอดูว่าเขาจะมีคำถามหรือ มานำเสนอ มาพูดคุยกับเราหรือไม่ แต่เปล่าเลย ไม่มีจริงๆ
ที่สำคัญผมรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกล้มเหลว เมื่อนิสิตมาบอกว่าอาจารย์สอนไม่รู้เรื่อง ผมกลับมานั่งทบทวนเนื้อหา อยู่หลายวัน นั่งดูแล้วดูอีก มันก็เนื้อหาชุดเดียวกับที่เราสอนเด็กที่ต่างประเทศนี่หว่า แต่ทำไมเด็กที่ต่างประเทศเขาเข้าใจและมีฟีดแบคที่ดี ในขณะที่เด็กบ้านเราบอกว่าสอนไม่รู้เรื่อง
ผมพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองในการปรึกษาผู้รู้ทั้งในและต่างประเทศ ที่เชี่ยวชาญเรื่องการสอน ผลก็คือ เด็กของบ้านเราที่ผมสอนนั้น ยังไม่สามารถเชื่อโยง และคิดได้อย่างเป็นระบบ นี่คือปัญหาจริงๆของการศึกษาไทย แต่ก็ยังมีเด็กๆอีกหลายคนที่ผมสอนก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานต่างๆออกมาได้ดี
ส่วนที่ผมพลาดนั้นก็คือ ผมไม่ได้ประเมินศักยภาพของเด็กก่อนที่จะสอนพวกเขา ครูที่ดี จะต้องสอนให้เด็กทุกคนเข้าใจ ไม่ใช่สอนให้เข้าใจเฉพาะบางคน นั่นเป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป บางครั้งการสอนเนื้อหาที่ยากเกินไป เราอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับนิสิต นักศึกษา แต่ตรงกันข้ามเลย เนื้อหาที่ท้าทาย ความรู้ใหม่ๆ นั้นอาจจะไกลเกินไปสำหรับพวกเขา มันก็มีสองทางเลือกนะ ทางแรกคือ เราจะรักษามาตรฐานของเราไว้ หรือ เราจะกดมาตรฐานของเราลงมา หลายที่ยอมลดมาตรฐานลงมา แต่ผมเลือกที่จะรักษามาตรฐานไว้ แต่เพิ่มเรื่องของการอธิบายเพิ่มเติมให้ฟัง
"ผมคิดว่าปัจจุบันนิสิตมีความรับผิดชอบลดลงนะ" คำพูดที่ออกมาจากปากของอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายๆท่าน ความรับผิดชอบนั้นเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับผมคิดว่าสมมติฐานนี้จริง หลังจาก COVID-19 ระบาด ทุกมหาวิทยาลัยปรับรูปแบบการเรียนการสอน มาเป็น การสอนออนไลน์ ที่น่าตกใจคืออัตราการส่งงานล่าช้า เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง การเข้าเรียนแบบสอนสดออนไลน์ ลดน้อยลง และอัตราการเข้าเรียนไม่ตรงเวลานั้นมีมากขึ้น แน่นอนว่านิสิตกำลังปรับตัว แต่นี่เทอมที่สองแล้ว จากสถิติก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น นั่นผมคิดว่าน่าจะเป็นนิสัย และความเคยชิน Habit แล้วครับ มหาวิทยาลัยอาจจะเป็นแค่สถานที่ที่มาเรียนแล้วเอาวุฒิ มากกว่าการพัฒนาตัวเองแล้วกระมั้งก่อนจะจบฝาก เป็นเพลงเถื่อนแห่งสถาบัน โดย วิทยากร เชียงกูร
ดอกหาง นกยูง สีแดงฉานบานอยู่ เต็มฟาก สวรรค์คนเดิน ผ่านไป มากันเขาด้น ดั้นหา สิ่งใดปัญญา มีขาย ที่นี่หรือจะแย่ง ซื้อได้ ที่ไหนอย่างที่โก้ หรูหรา ราคา เท่าใดจะให้พ่อ ขายนา มาแลกเอาฉันมา ฉันเห็น ฉันแพ้ยินแต่ เสียงด่า ว่าโง่เง่าเพลงที่นี่ ไม่หวาน เหมือนบ้านเราใครไม่เข้า ถึงพอ เขาเยาะเย้ยนี่จะให้ อะไร กันบ้างไหมมหาวิทยาลัย ใหญ่ โตเหวยแม้นท่าน มิอาจให้ อะไรเลยวานนิ่งเฉย อย่าบ่น อย่าโวยวายฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่งฉันจึง มาหา ความหมายฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมายสุดท้าย ให้กระดาษ ฉันแผ่นเดียวมืดจริงหนอ สถาบัน อันกว้างขวางปล่อยฉัน อ้างว้าง ขับเคี่ยวเดินหาซื้อปัญญา จนหน้าเซียวเทียวมาเทียวไป ไม่รู้วันดอกหางนกยูง สีแดงฉานบานอยู่ เต็มฟาก สวรรค์เกินพอ ให้เจ้า แบ่งปันจงเก็บกัน อย่าเดิน ผ่านเลยไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น