การติดตามการตอบสนองต่อการซ้อมด้วยการวัดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ Heart Rate
เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนะครับว่า อัตราการเต้นของหัวใจนั้นเป็นการควบคุมด้วยระบบประสาทอัตโนมัติ Autonomic Nervous System ซึ่งจะมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการออกกำลังกาย หรือ การได้รับสิ่งเร้าต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งการดูการทำงานของอัตราการเต้นของหัวใจนั้น สิ่งหนึ่งที่มีการศึกษากันอย่างแพร่หลายก็คือ การวัดอัตราการผันแปรของการเต้นของหัวใจ HRV นั่นเอง สำหรับเรื่องของ HRV นั้นผมเคยเขียนไปในตอนที่แล้ว ๆ มา กับอีกวิธีหนึ่ง คือ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจในขณะฟื้นสภาพ HRR: Heart Rate Recovery แต่เมื่อไม่นานมานี้มีวิธีการวัดอัตราการหดตัวและคลายตัวของหัวใจ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ นั่นก็คือ ระบบประสารทซิมพาเธติก และ พาราซิมพาเตธิก นั่นเอง ระบบประสาทอัตโนมัติ นั้น จะพยายามรักษาสมดุล Homeostasis ภายหลังจากการออกกำลังกายหรือการฝึกซ้อม การฝึกซ้อมหรือออกกำลังกายหนักต่อเนื่องกัน ทำให้เกิดความเครียด และทำให้เกิดการสูญเสียความสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งบางครั้งเราก็ใช้อัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ HRV ในการดูการเลี่ยนแปลงของร่างกายต่อสิ่งกระตุ้น หรือการฝึกซ้อมนั่นเอง ซึ่งวิธีที่เป็นที่นิยมในการวัดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ นั่นก็คือ การวัดอัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ HRV และ การวัดการฟื้นสภาพของอัตราการเต้นของหัวใจภายหลังจากการออกกำลังกายในการคืนสู่สภาวะปกติภายหลังจากการออกกำลังกาย (ที่เขาบอกว่าถ้าคนฟิต อัตราการเต้นของหัวใจภายหลังจากการออกกำลังกายจะลดลงกลับคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว นั่นเอง)
เรามาดูกันนะครับจากการวิจัยที่ผ่าน ๆ มา เรามาดูว่าในนักกีฬาประเภทที่ต้องใช้ความอดทนสูง ๆ วิธีการไหนจะเหมาะเหม็งที่สุดในการดูเรื่องของการฝึกซ้อม การทบทวนวรรณกรรมนี้ใช้ระบบ PRISMA: Preferred Reporting Items for Systematics Review and Meta-Analysis) จากการค้นหาในฐานข้อมูลการวิจัยจาก 7032 เรื่อง นำมาคัดกรองที่ซ้ำ และไม่ตรงกับเกณฑ์ออกไป จนเหลือเพียง 35 เรื่อง เมื่อรวมกลุ่มตัวอย่างจากงานวิจัยเข้าด้วยกันแล้วได้จำนวน 355 คนซึ่งได้รับการฝึกซ้อมและมีทั้งการวัดการทำงานของระบบประสารทอัตโนมัติ และโปรแกรมการฝึกซ้อม ทั้งทางด้านบวกและลบ
หากนักกีฬามีการฝึกซ้อมความอดทน นั้นผลที่ได้ก็คือ การเพิ่มขึ้นของความสามารถของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตนั้นเอง ซึ่งจะดูได้จากการเปลี่ยนแปลงของ อัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจภายหลังจากการออกกำลังกาย Post Exercise HRV และอัตราการเต้นของหัวใจขณะฟื้นสภาพ จากการทบทวนวรรณกรรมย้อนหลังเพื่อดูผลในทางบวก และลบของการพัฒนา หรือ ตอบสนองต่อโปรแกรมการฝึกซ้อม นั้น จากการวัดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ โดยการวัดผลของการปรับตัวต่อการฝึกซ้อมควบคุ่กับการวัด อัตราการผันแปรของหัวใจในขณะพัก Resting HRV อัตราการเต้นของหัวใจภายหลังการออกกำลังกาย Post-Exercise HRV อัตราการเต้นของหัวใจภายหลังหยุดออกกำลังกาย Post Exercise HR Recovery และ อัตราเร่งของอัตราการเต้นของหัวใจ HR Acceleration พบว่า มีการเพิ่มขึ้นของการทำงานของระบบประสาท ซิมพาเธติก (ระบบประสาทที่เน้นเรื่องการผ่อนคลาย) ที่มีต่อการควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ และลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาเธติก ในกรณีของการวัด HRR และ HR Acceleration) ในนักกีฬาที่มีการตอบสนองต่อโปรแกรมฝึกซ้อมได้อย่างเหมาะสม อีกสิ่งหนึ่งที่ได้จากการวิเคราะห์และทบทวนวรรณกรรมนี้ก็คือ การใช้ HFP (High Frequency Power) ในการวิเคราะห์ คลื่นความถี่ Frequency Domain Analysis ของอัตราผันแปรของการเต้นของหัวใจ นั้นพบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จากการทบทวนวรรณกรรม แสดงให้เห็นว่าการฝึกซ้อมนั้นส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของสมรรถนะของนักกีฬา แต่ก็อาจเกิดจากข้อจำกัดในการวัด หรือ รูปแบบท่าทาง ในการวัด เช่น การนั่ง หรือ นอนราบ เป็นต้น ซึ่งต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
เรามาดูกันนะครับจากการวิจัยที่ผ่าน ๆ มา เรามาดูว่าในนักกีฬาประเภทที่ต้องใช้ความอดทนสูง ๆ วิธีการไหนจะเหมาะเหม็งที่สุดในการดูเรื่องของการฝึกซ้อม การทบทวนวรรณกรรมนี้ใช้ระบบ PRISMA: Preferred Reporting Items for Systematics Review and Meta-Analysis) จากการค้นหาในฐานข้อมูลการวิจัยจาก 7032 เรื่อง นำมาคัดกรองที่ซ้ำ และไม่ตรงกับเกณฑ์ออกไป จนเหลือเพียง 35 เรื่อง เมื่อรวมกลุ่มตัวอย่างจากงานวิจัยเข้าด้วยกันแล้วได้จำนวน 355 คนซึ่งได้รับการฝึกซ้อมและมีทั้งการวัดการทำงานของระบบประสารทอัตโนมัติ และโปรแกรมการฝึกซ้อม ทั้งทางด้านบวกและลบ
หากนักกีฬามีการฝึกซ้อมความอดทน นั้นผลที่ได้ก็คือ การเพิ่มขึ้นของความสามารถของระบบหัวใจและไหลเวียนโลหิตนั้นเอง ซึ่งจะดูได้จากการเปลี่ยนแปลงของ อัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจภายหลังจากการออกกำลังกาย Post Exercise HRV และอัตราการเต้นของหัวใจขณะฟื้นสภาพ จากการทบทวนวรรณกรรมย้อนหลังเพื่อดูผลในทางบวก และลบของการพัฒนา หรือ ตอบสนองต่อโปรแกรมการฝึกซ้อม นั้น จากการวัดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ โดยการวัดผลของการปรับตัวต่อการฝึกซ้อมควบคุ่กับการวัด อัตราการผันแปรของหัวใจในขณะพัก Resting HRV อัตราการเต้นของหัวใจภายหลังการออกกำลังกาย Post-Exercise HRV อัตราการเต้นของหัวใจภายหลังหยุดออกกำลังกาย Post Exercise HR Recovery และ อัตราเร่งของอัตราการเต้นของหัวใจ HR Acceleration พบว่า มีการเพิ่มขึ้นของการทำงานของระบบประสาท ซิมพาเธติก (ระบบประสาทที่เน้นเรื่องการผ่อนคลาย) ที่มีต่อการควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ และลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาเธติก ในกรณีของการวัด HRR และ HR Acceleration) ในนักกีฬาที่มีการตอบสนองต่อโปรแกรมฝึกซ้อมได้อย่างเหมาะสม อีกสิ่งหนึ่งที่ได้จากการวิเคราะห์และทบทวนวรรณกรรมนี้ก็คือ การใช้ HFP (High Frequency Power) ในการวิเคราะห์ คลื่นความถี่ Frequency Domain Analysis ของอัตราผันแปรของการเต้นของหัวใจ นั้นพบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จากการทบทวนวรรณกรรม แสดงให้เห็นว่าการฝึกซ้อมนั้นส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของสมรรถนะของนักกีฬา แต่ก็อาจเกิดจากข้อจำกัดในการวัด หรือ รูปแบบท่าทาง ในการวัด เช่น การนั่ง หรือ นอนราบ เป็นต้น ซึ่งต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
และยังพบอีกว่าการลดลงของสมรรถนะของนักกีฬาในการฝึกซ้อมที่เกิดสภาวะ Overreaching นั้นมีผลต่ออัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ น้อยมาก แต่อย่างไรก็ตามอาจจะเกิดจากวิธีการในการวัด ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป และการทบทวนวรรณกรรมนี้ยังพบว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจภายหลังจากออกกำลังกาย Recovery Phase นั้นเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้น หรือ ลดลงของความสามารถในการออกกำลังกาย ซึ่งการใช้อัตราการเต้นของหัวใจภายหลังจากการออกำลังกาย Heart Rate @ Recovery เป็นเครื่องมือในการวัดการตอบสนองต่อการฝึกซ้อมเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นการวัดตัวแปรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกซ้อมและโหลดที่ใช้ในการฝึกซ้อมนอกเหนือจากการใช้อัตราการเต้นของหัวใจเพียงอย่างเดียวอาจจะมีความจำเป็นมากขึ้นในการวัดการตอบสนองต่อโปรแกรมการฝึกซ้อมนอกเหนือจากตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับอัตรากาเต้นของหัวใจเพียงอย่างเดียว สำหรับการวัดอัตราเร่งของระบบหัวใจและไหลเวียนนั้นยังมีการวิจัยน้อยอยู่แต่ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับการวัดสภาวะของการฝึกเกินได้ หรือ การฝึกที่กระตุ้นความเมื่อยล้าเป็นต้น
จากการทบทวนวรรณกรรมเราจะเห็นได้ว่า ไม่ได้มีเครื่องมือตัวไหนที่สามารถตอบโจทย์ในการวัดการตอบสนองของร่างกายของเราในการออกกำลังกายหรือการฝึกซ้อมได้ครบถ้วน ดังนัน การรู้จักศึกษาหาความรู้ และใช้ข้อมูลต่าง ๆ ประกอบจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการวัดและควบคุมความหนัก ในการฝึกซ้อมรวมทั้งการรักษาสภาพร่างกายให้เหมาะสม การฝึกซ้อมหนัก และไม่สมดุลกับการพักผ่อนหรือการฟื้นสภาพนั้น จะทำให้เราเกิดสภาวะสุดเอื้อมหรือการฝึกเกินได้ โดยง่ายดาย ปัจจุบันมีเครื่องมือ และตัวแปร ต่าง ๆ หลายตัวที่สามารถช่วยให้เราติดตามการฝึกซ้อมได้อย่างเป็นระบบ ตอนนี้พูดเฉพาะเรื่องความอดทน และการตอบสนองต่อโปรแกรมการฝึกซ้อมนะครับ แต่ถ้าเป็นสมรรถภาพ ทางกายด้านอื่น ๆ ก็ต้องใช้การวัดที่แตกต่างกันออกไปครับ และงานวิจัยก็ไม่ใช่ข้อสรุปนะครับ งานวิจัยก็เหมือนเหรียญทั้งสองด้านครับ เราก็ต้องศึกษาหาข้อมูลให้รอบด้าน บางคนเลือกงานวิจัยมาเพื่อสนับสนุนเฉพาะความคิดของตนเอง แต่แท้ที่จริงแล้ว แนวโน้มอาจจะไม่ไปอย่างที่เขาคิดก็ได้ ซึ่งเราก็ต้องอ่านและพิจารณากันอย่างมีสติ เพราะทุกวันนี้บางเพจก็เอางานวิจัยที่สนับสนุน ความคิด หรือ สิ่งที่แอดมินตั้งใจจะให้เป็นมาอ้างอิงกันเป็นอย่างมาก….ไม่ได้ให้เชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่สิ่งที่ผมต้องการมาก คือการอภิปราย แลกเปลี่ยนรวมทั้งแบ่งปัน นะครับ
จากการทบทวนวรรณกรรมเราจะเห็นได้ว่า ไม่ได้มีเครื่องมือตัวไหนที่สามารถตอบโจทย์ในการวัดการตอบสนองของร่างกายของเราในการออกกำลังกายหรือการฝึกซ้อมได้ครบถ้วน ดังนัน การรู้จักศึกษาหาความรู้ และใช้ข้อมูลต่าง ๆ ประกอบจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการวัดและควบคุมความหนัก ในการฝึกซ้อมรวมทั้งการรักษาสภาพร่างกายให้เหมาะสม การฝึกซ้อมหนัก และไม่สมดุลกับการพักผ่อนหรือการฟื้นสภาพนั้น จะทำให้เราเกิดสภาวะสุดเอื้อมหรือการฝึกเกินได้ โดยง่ายดาย ปัจจุบันมีเครื่องมือ และตัวแปร ต่าง ๆ หลายตัวที่สามารถช่วยให้เราติดตามการฝึกซ้อมได้อย่างเป็นระบบ ตอนนี้พูดเฉพาะเรื่องความอดทน และการตอบสนองต่อโปรแกรมการฝึกซ้อมนะครับ แต่ถ้าเป็นสมรรถภาพ ทางกายด้านอื่น ๆ ก็ต้องใช้การวัดที่แตกต่างกันออกไปครับ และงานวิจัยก็ไม่ใช่ข้อสรุปนะครับ งานวิจัยก็เหมือนเหรียญทั้งสองด้านครับ เราก็ต้องศึกษาหาข้อมูลให้รอบด้าน บางคนเลือกงานวิจัยมาเพื่อสนับสนุนเฉพาะความคิดของตนเอง แต่แท้ที่จริงแล้ว แนวโน้มอาจจะไม่ไปอย่างที่เขาคิดก็ได้ ซึ่งเราก็ต้องอ่านและพิจารณากันอย่างมีสติ เพราะทุกวันนี้บางเพจก็เอางานวิจัยที่สนับสนุน ความคิด หรือ สิ่งที่แอดมินตั้งใจจะให้เป็นมาอ้างอิงกันเป็นอย่างมาก….ไม่ได้ให้เชื่อ หรือไม่เชื่อ แต่สิ่งที่ผมต้องการมาก คือการอภิปราย แลกเปลี่ยนรวมทั้งแบ่งปัน นะครับ
สิ่งที่ได้จากการศึกษานี้
1. การวัดอัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ (Post Exercise HRV) และอัตราการเต้นของหัวใจภายหลังจากการออกกำลังกาย (Post- Exercise HRR) รวมทั้งการวัดอัตราเร่งของอัตราการเต้นของหัวใจ นั้น มีผลต่อ การเพิ่มขึ้นของการตอบสนองต่อโปรแกรมการฝึกซ้อมและออกกำลังกาย
2. มีการลดลงของความสามารถ เมื่อมีการฝึกที่ความหนักสูงมาก ๆ อัตราการเต้นของหัวใจขณะฟื้นสภาพ และอัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ (Post Exercise HRV) มีการเพิ่มขึ้น ดังนั้นถ้าไม่มีการวัดตัวแปรอื่น ๆประกอบด้วยอาจจะทำให้เกิดการวิเคราะห์ผลที่ผิดพลาด ดังนั้นควรตะต้องเพิ่มตัวแปรอื่น ๆ เข้าไปด้วย
3. การฝึกหนักมาก ๆ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราการผันแปรของอัตรากาเต้นของหัวใจขณะพักน้อยมาก ๆ แต่อย่างไรก็ตามจำนวนของการศึกษานั้นยังน้อยอยู่ ซึ่งบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับวิธีในการออกแบบการวิจัย ดังนั้น จึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
4. สำหรับเรื่องของอัตราเร่งของอัตราการเต้นของหัวใจนั้น ยังมีจำนวนการศึกษาที่น้อยอยู่ แต่ยังคงเป็นตัวแปรที่น่าสนใจสำหรับการดูเรื่องของการฝึกเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเมื่อยล้าได้
1. การวัดอัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ (Post Exercise HRV) และอัตราการเต้นของหัวใจภายหลังจากการออกกำลังกาย (Post- Exercise HRR) รวมทั้งการวัดอัตราเร่งของอัตราการเต้นของหัวใจ นั้น มีผลต่อ การเพิ่มขึ้นของการตอบสนองต่อโปรแกรมการฝึกซ้อมและออกกำลังกาย
2. มีการลดลงของความสามารถ เมื่อมีการฝึกที่ความหนักสูงมาก ๆ อัตราการเต้นของหัวใจขณะฟื้นสภาพ และอัตราการผันแปรของอัตราการเต้นของหัวใจ (Post Exercise HRV) มีการเพิ่มขึ้น ดังนั้นถ้าไม่มีการวัดตัวแปรอื่น ๆประกอบด้วยอาจจะทำให้เกิดการวิเคราะห์ผลที่ผิดพลาด ดังนั้นควรตะต้องเพิ่มตัวแปรอื่น ๆ เข้าไปด้วย
3. การฝึกหนักมาก ๆ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราการผันแปรของอัตรากาเต้นของหัวใจขณะพักน้อยมาก ๆ แต่อย่างไรก็ตามจำนวนของการศึกษานั้นยังน้อยอยู่ ซึ่งบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับวิธีในการออกแบบการวิจัย ดังนั้น จึงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
4. สำหรับเรื่องของอัตราเร่งของอัตราการเต้นของหัวใจนั้น ยังมีจำนวนการศึกษาที่น้อยอยู่ แต่ยังคงเป็นตัวแปรที่น่าสนใจสำหรับการดูเรื่องของการฝึกเพื่อกระตุ้นให้เกิดความเมื่อยล้าได้
Bellenger CR, Fuller JT, Thomson RL, Davison K, Robertson EY, Buckley JD. Monitoring Athletic Training Status Through Autonomic Heart Rate Regulation: a Systematic Review and Meta-Analysis. Sports Med. 2016 Oct;46(10):1461-86. doi:10.1007/s40279-016-0484-2. Review. PubMed PMID: 26888648.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น